บทสัมภาษณ์ “เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์” ครั้งแรกของนักวาดการ์ตูนและมือเขียนบทภาพยนตร์คุณภาพ

ข่าวบันเทิง Monday January 10, 2011 15:08 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--10 ม.ค.--สหมงคลฟิล์ม ครั้งแรกของนักวาดการ์ตูนและมือเขียนบทภาพยนตร์คุณภาพ“เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์” กับการลุกขึ้นมากำกับจินตนาการของตัวเองลงแผ่นฟิล์มเป็นครั้งแรก ในโปรเจ็คต์หลอนสุดขั้ว รั่วสุดขีด “หลุดสี่หลุด” ที่มาที่ไปของโปรเจ็กต์ “หลุดสี่หลุด” โปรเจ็คต์นี้มันเป็นงานรวมเรื่องสั้น ซึ่งจริงๆ แล้วเดิมทีผมจะเขียนเป็นการ์ตูน ซึ่งเมื่อก่อนเคยมีการ์ตูนรวมเรื่องสั้น “จิตหลุด” ออกมา ซึ่งก็ได้ถูกพัฒนาไปเป็นหนัง “13 เกมสยอง” ที่มะเดี่ยวกำกับ ทีนี้ด้วยความยุ่งของชีวิตตัวเอง มันมีงานเยอะมากทั้งงานประจำ งานเขียนบท แต่ก็ยังอยากทำเรื่องสั้นแนวหลุดๆ อยู่ ก็เลยเริ่มคุยกับพี่ปรัช (ปรัชญา ปิ่นแก้ว — โปรดิวเซอร์เรื่องนี้) ว่าเป็นไปได้มั้ยว่ามันเป็นงานรวมเรื่องสั้นแต่เป็นหนังไปเลยโดยไม่มีการผ่านการเขียนการ์ตูนมาก่อน พี่ปรัชก็สนใจ แต่ตอนแรกยังไม่ได้สนใจมาก พอดีผมเล่าพล็อตต่างๆ ที่มันมีเก็บอยู่ในสต๊อกไว้แล้วบ้าง พี่ปรัชก็บอกเออ...น่าสนใจ ก็เลยเริ่มโปรเจ็คต์นี้ขึ้นมา โปรเจ็กต์ “หลุดสี่หลุด” ก็เป็นโปรเจ็คต์ที่รวบรวมหนังแนวหลุดๆ สไตล์บทหนังของผมไว้ 4 เรื่อง ซึ่งผมคิดโครงเรื่องและเขียนบททั้งหมด 4 เรื่อง ซึ่งผมจะรับหน้าที่กำกับเองหนึ่งเรื่องเป็นตอน “เกรียนล้างโลก” ส่วนอีก 3 เรื่องที่เหลือจะถูกแจกจ่ายไปให้ผู้กำกับแต่ละคนทำซึ่งก็มี “คุณโขม ก้องเกียรติ โขมศิริ” ซึ่งผมมองว่าเขาน่าจะเหมาะกับหนังแนวตลกร้าย เขาก็จะกำกับในตอน “ร้านของขวัญเพื่อคนที่คุณเกลียด” โทนหนังมันจะประมาณ Fight Club แต่มันจะขี้เล่นและกวนโอ๊ยกว่า มันจะเต็มไปด้วยลูกเล่นอะไรหลายๆ อย่าง น่าจะสื่อออกมาเป็นสไตล์ของคุณโขมที่เรารู้จัก แล้วก็ตอน “คืนจิตหลุด” เรื่องนี้ก็ได้ “คุณใหม่ ภวัต พนังคศิริ” มากำกับ มันจะเป็นตอนที่ค่อนข้างจริงจังซีเรียสเหมือน “นาคปรก” ที่พี่เขาทำ แต่มันจะออกแนวหลอนระทึกขวัญอย่างมาก เป็นเรื่องของแบดบอย 3 คนกับสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมันเป็นเรื่องความระทึกขวัญที่ผมเชื่อว่าคนดูจะไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลยจากหนังเรื่องนี้ มันเป็นหนังไซโคแบบหนักๆ เรื่องต่อไปก็เป็นของ “มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล” กับตอน “ฮูอากง” ก็จะเป็นตอนที่สนุกแบบหลุดโลกกันไปเลยออกฮาๆ รั่วๆ แต่ยังอยู่ในพื้นฐานของความจิตหลุด ส่วนของผม “เกรียนล้างโลก” ก็จะเป็นหนังเปิดเรื่อง ก็จะเป็นความหลุดอีกอย่างหนึ่ง คือทั้ง 4 เรื่องมันจะอยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ของความหลุด เล่นกับจิตของมนุษย์ น่าจะเป็นความสนุกใหม่ๆ สำหรับวงการภาพยนตร์อีกครั้งหนึ่งครับ การคิดธีมเรื่องหรือว่าการเขียนบททั้ง 4 ตอนเป็นยังไงบ้าง จริงๆ มันก็เหมือนปล่อยไหลออกมา ไม่ได้มีการวางคอนเซ็ปต์อะไรทั้งสิ้น นอกจากความเป็น “จิตหลุด” สไตล์ผม มันก็คงเกิดจากอารมณ์แบบอยากดู อยากดูเออ...ตอนที่มันเป็นการตูน ก็คือทำรวมเรื่องสั้น “จิตหลุด” ก็เขียนด้วยอารมณ์แบบอยากอ่านเรื่องแบบนี้ ก็เลยเขียนเรื่องแบบนี้ออกมา มันก็ยังเป็นอารมณ์แบบนั้นอยู่ในการทำหนัง “หลุดสี่หลุด” นี้ครับ ในครั้งนี้ก็คือแบบเป็นความรู้สึกว่าอยากดูหนังแบบนี้ หนังที่อาจจะไม่ค่อยเคยเห็นกันนักในบ้านเรา ก็เลยปล่อยออกมา ไม่ได้กำหนดธีมมากมาย ปล่อยฟรีๆ ไหลๆ เลยครับ จริงๆ แล้วคือมีพล็อตเรื่องอยู่แล้วใช่มั้ย แล้วค่อยมาเลือกผู้กำกับอีกที ใช่ครับ เดิมมันมีพล็อตเรื่องอยู่แล้ว พอได้คุยกับมะเดี่ยว เขาก็เริ่มที่จะจัดการหาผู้กำกับที่แม็ทช์กับแต่ละเรื่องที่ผมมี ซึ่งก็เป็นผู้กำกับที่เราหวังว่าจะได้ร่วมงานอยู่แล้วครับ แล้วทีนี้พอเจอตัวผู้กำกับปุ๊บ ก็จะมีการพูดคุยก่อน เพราะว่าเราโอเคเขา แต่ไม่รู้ว่าผู้กำกับเขาโอเคเราหรือเปล่า (หัวเราะ) ก็มีการพูดคุยกัน มีการปรับเรื่องให้เข้ากับตัวผู้กำกับอีกที เพื่อที่จะให้มันเหมือนผู้กำกับแต่ละคนก็จะปล่อยไหลออกมาอีกเหมือนกัน คือได้ใช้ศักยภาพของผู้กำกับแต่ละคนให้เต็มที่ที่สุดครับ คือไม่ได้ Fix ว่าเรื่องต้องเป็นแบบนี้เป๊ะๆ สามารถปรับไปตามผู้กำกับแต่ละคนอีกทีได้ครับ พูดถึงเรื่องคร่าวๆ ของทั้ง 4 เรื่อง จริงๆ มันจะเริ่มด้วยเรื่องของผมเองที่ชื่อ “เกรียนล้างโลก” ครับ มันเป็นเหมือนคำนำ เหมือนการจั่วหัว เหมือนการเปิดเรื่องสำหรับเรื่องอื่นๆ มากกว่า แต่ว่าความน่าสนใจก็คือ มันเหมือนเป็นการโยนคำถาม เป็นการเล่นมุก เป็นการปลดปล่อย เหมือนปล่อยของที่ผมรู้สึกว่าอยากลองเป็นผู้กำกับครั้งแรกอะไรอย่างนี้ครับ มันเป็นอะไรที่เป็นเซอร์ไพร์สำหรับตอนนี้ครับ ส่วนตอนที่สองก็ชื่อ “ร้านของขวัญเพื่อคนที่คุณเกลียด” ตอนนี้ก็ได้ผู้กำกับในดวงใจคือคุณโขม (ก้องเกียรติ โขมศิริ) มารับหน้าที่กำกับนะครับ ก็เป็นเรื่องแนวตลกร้าย คือมันเกิดคำถามขึ้นในขณะที่ชีวิตประจำวันของผมที่เจอกับสภาพบ้านเมืองสภาพแวดล้อม ทำไมคนถึงได้แบ่งขั้วหรือเกลียดกันได้ซะขนาดนี้ ทั้งที่เราเคยรักกันไม่ใช่เหรอ แม้แต่เรื่องพื้นๆ ทั่วไปไม่ต้องใหญ่เครียดอะไรแบบนั้นก็ได้ ก็เลยรู้สึกว่ามันเหมือนประชดน่ะครับ เมื่อทำให้คนมันรักกันไม่ได้ เอางี้มั้ยเปิดร้านของขวัญสำหรับคนที่คุณเกลียดให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลย คือก็เป็นแนวแบบประชดประชัน แล้วก็เป็นแนวแบบตลกร้าย ก็เข้าทางคุณโขมครับ เวอร์ชั่นที่คุณโขมทำออกมาก็น่าพอใจครับ เรารู้สึกว่าดีมาก ชอบเลยครับ ตอนต่อไปก็เป็นเรื่อง “คืนจิตหลุด” นะครับของพี่ใหม่ (ภวัต พนังคศิริ) ผู้กำกับ “นาคปรก” ที่เลื่องลือในความเท่ เรื่อง “คืนจิตหลุด” ก็เป็นแนวเท่ๆ สไตล์พี่ใหม่ แต่ก็บวกความจิตๆสไตล์การเขียนบทของผมเข้าไปก็เลยได้ส่วนผสมที่ลงตัว ก็คือความรู้สึกของผมมันบอกอย่างนั้นจริงๆ ว่ามันป็นรูปแบบใหม่ๆ ที่แบบว่าเท่ดี เป็นเรื่องของการยิงคำถามว่า คือคนเราจะรู้สึกว่า “ปืน” เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่แล้วเอาจ่อหัวใครก็ดูยิ่งใหญ่ไปเลยจริงเหรอ ถ้าเราเจออาวุธที่เจ๋งกว่านั้นล่ะ อย่างเช่นสมองของคนๆ หนึ่งกับปืน อะไรมันเจ๋งกว่ากันแน่ อันนี้คือธีมของเรื่องนี้ครับ เป็นการเหมือนทวิสต์ดู เหมือนทำให้เป็นเรื่องที่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ เพี้ยนๆ เลยว่า คนที่มีปืนกับเด็กที่ไม่มีทางสู้ปรากฏว่าเด็กกลับมีภาษีเหนือกว่าอะไรอย่างนี้ครับ น่าสนใจดีครับ แล้วก็เรื่องสุดท้ายก็จะเรียกว่าผู้กำกับคู่บุญมาตลอดก็ได้คือมะเดี่ยวนั่นเอง แล้วอันนี้เป็นเรื่องที่มะเดี่ยวเค้าขอเสนอ มะเดี่ยวบอกว่าพี่เอกก็แนวจิตๆ มาตลอดเลย หลบเรื่องผีมาตลอดเลย พี่เขียนเรื่องผีจริงๆ เลยได้มั้ย ผีแบบโจ๊ะๆ เลยได้มั้ย ตอนแรกก็รู้สึกเขินๆ แต่ลองดูก็น่าสนุกดีเหมือนกันครับ ก็เป็นอีกมุกหนึ่งซึ่งเรื่องนี้ก็คือรื่อง “ฮูอากง” เป็นแนวแบบเหมือนเกือบๆ จะไม่มีสาระ มะเดี่ยวบอกไม่มีสาระ แต่จริงๆ แล้วในความที่ไม่มีสาระ มันมีสาระซ่อนอยู่ ในตอนนี้ก็คือแบบบ้าเต็มที่ครับ แล้วก็สนุกกับมันเต็มที่ ในตอนเขียนบทก็รู้สึกว่าตัวเองได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่างออกมาด้วยความที่มันไม่ต้องมีรูปแบบ ไม่ต้องมีฟอร์ม ไม่ต้องแบบจิตๆ ตลอดเวลา หลุดๆ ออกมาบ้างก็ได้ ผลที่ได้คือ โอเคเลย ดูแล้วก็สนุกมากครับ แสดงว่าแต่ละตอนมันก็คือความจิตหลุดในลักษณะที่แตกต่างกัน อืม ใช่ครับ จริงๆ แล้วมันเหมือนกับว่าผมดึงความจิตในผู้กำกับแต่ละคนออกมา โดยการที่ผมเดินเข้าไปแล้วบอกว่าทุกคนจิตนะ ทุกคนมีความเป็นเป็นโรคจิตอยู่ในตัวนะ บางคนอาจจะยอมรับ บางคนอาจไม่ยอมรับ แต่สุดท้ายผมก็ดึงความจิตของทุกคนออกมาให้ทุกคนได้ดูกัน นิยามคำว่า “จิตหลุด” ผมมีความเชื่อว่าคนทุกคนมันมีความจิตอยู่ในตัวครับ เพียงแต่ว่าในสภาพสังคมในสิ่งที่คนคาดหวังกับเรา มันทำให้เราจะต้องเก็บกดสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ คือคำว่า “จิต” ไม่ได้เลวร้ายนะครับ บางทีอาจจะแค่เราชอบสะสมสิ่งเหล่านี้ อาจจะชอบดูแบบนี้ อาจจะชอบทำแบบนั้น คือง่ายๆ หลายๆ คนอาจจะแคะเท้าเชื่อว่าหลายคนจะชอบเอามาดม คือผมว่ามันเป็นความจิตที่ทุกคนไม่ยอมรับ แต่จริงๆ แล้วทำไมเราถึงชอบดมสิ่งเหม็นๆ อะไรอย่างงี้ ผมเลยเชื่อว่าทุกคนมันมีความจิตอยู่ในตัว ไอ้คำว่า “หลุด” นี้คือปล่อยมันหลุดออกมาได้เห็นอีกด้านหนึ่งบ้าง แล้วก็รู้สึกว่าเหมือนเรามีเพื่อน เหมือนเราไม่ได้โดดเดี่ยว ไม่ได้เพี้ยนอยู่คนเดียว มันมีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วย มันมีเรื่องรีแล็กซ์ผ่อนคลาย ก็คือเป็นนิยามคำว่า “จิตหลุด” ที่ผมชอบในการเขียนเรื่องต่างๆ มันเทียบกับคำว่า ด้านมืดของแต่ละคนได้ไหม ด้านมืด ผมว่ามันแรงกว่านั้นครับ ด้านมืดมันดูแบบเลวร้ายชั่วร้าย แต่ “จิตหลุด” จะเป็นแค่แบบขำๆ ก็ได้ครับ เป็นเรื่องลามกจกเปรต เป็นเรื่องบ๊องๆ เพี้ยนๆ หรืออาจจะก้าวข้ามไปถึงด้านมืดเลยก็ได้ครับมันรวมหมดนะครับ ผมว่ามันกว้างกว่า มันก็คือส่วนหนึ่งของนิสัยติดตัวแบบพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำ ก็คือเป็นความชอบที่บางทีเราอาจบอกไม่ได้ว่าทำไมเราถึงชอบ คือบางทีมันส่วนตัวมากๆ นะครับ แต่ว่าบางครั้งเราอาจจะไม่ยอมรับว่าเราชอบ มันก็เป็นแบบโลกียะอะไรซักอย่างหนึ่งเนี่ยครับ ด้านหนึ่งที่เราอยู่กับมันแต่เราไม่ยอมรับมันอะไรอย่างนี้ “เกรียนล้างโลก” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร คำว่า “เกรียน” ส่วนใหญ่ที่เรารู้จักคือเป็นคำจำกัดความของคนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน คือเปรียบเทียบเหมือนเด็กนักเรียนที่ตัดผมเกรียนอยู่ ไม่ค่อยมีอะไรแต่พยายามที่จะทำตัวให้มีอะไร ชอบคิดอะไรบ้าๆ บอๆ ที่เกิดขึ้นจริงไม่ได้ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกรียนกลุ่มหนึ่งสามารถทำสิ่งเกรียนๆ ที่คิดนั้นไว้ได้จริงๆ อย่างเช่นการล้างโลก เป็นจุดจบของมนุษย์โลกซึ่งเกิดมาจากเกรียนเพียงกลุ่มเดียว แล้วมันจะเกิดอะไรอย่างไรขึ้นบ้าง พอโจทย์มันมาแบบนี้และผมรับหน้าที่กำกับเองก็ไม่อยากให้มัน ออกมาเหมือนหนังธรรมดาทั่วไป ได้รับโอกาสกำกับทั้งทีก็อยากทำอะไรพิเศษๆ หน่อยคิดกันแบบสุดๆ ไปเลย ก็เล่นของยากเลย ใช้วิธีแบบ Long Take คือถ่ายครั้งเดียวไม่มีคัทเลยตั้งแต่เปิดเรื่องมาจนถึงฉากจบของตอน ซึ่งมันก็ยากเอาการเหมือนกันครับ แต่ก็คิดว่าน่าจะคุ้มกับสิ่งที่คนดูจะได้เห็น กับความยากของหนังในตอนนี้ ต้องมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง แน่นอน ทั้งนักแสดงและทีมงานต้องมาซ้อมกันหนักมาก เพราะมันเป็น Long Take สมมติว่าเราถ่ายไปได้ซักพัก หรือว่าใกล้ที่จะจบเรื่องแล้วมันเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมา มันก็ต้องมาเริ่มที่ศูนย์ใหม่ทั้งหมด คิวต่างๆ นักแสดง กล้อง ตัวประกอบเขาก็ต้องมาเริ่มใหม่ทั้งหมด เพราะฉะนั้นทุกคนมันจะผิดพลาดไม่ได้ มันเป็นการเดิมพันที่สูงมาก คิวทุกอย่างมันต้องแม่นและเป๊ะมาก มันก็จะหนักไปในทางซ้อมกันมากกว่า เน้นซ้อมหนักเข้าไว้ครับ วางตัวนักแสดงใน “เกรียนล้างโลก” ไว้อย่างไรบ้าง คือด้วยชื่อเรื่องมันมีคำว่า “เกรียน” แล้วสิ่งที่ตัวละครมันคุยกันมันก็เป็นเรื่องเกรียนๆ เราก็มองว่าน่าจะวัยรุ่นทั่วไปที่เราสามารถสัมผัสได้ แต่ว่าด้วยความที่หนังมันเป็น Long Take ถ้าเป็นคนทั่วไปมันอาจจะเอาไม่อยู่ เพราะทุกคนมันต้องเล่นได้จริงแล้วเป๊ะอย่างที่เราวางไว้ ก็หาอยู่นาน จนมาลงตัวที่ อเล็กซ์ เรนเดลล์, นน วงออกัส, น้องอั้ม ที่เล่นเรื่องฝัน หวาน อาย จูบ ที่เป็นคู่ปรับกับมาริโอ้ และคนสุดท้ายก็เป็น น้องคูเปอร์ จากฮู อาร์ ยู? ใคร...ในห้อง ซึ่งผมเชื่อว่าน่าจะฝากความหวังไว้ที่ 4 หนุ่มพวกนี้ได้ ตัวพวกเขาเองก็ค่อนข้างที่จะกดดันเหมือนกัน เพราะเขาเห็นทีมงานนักแสดงเอ็กซ์ตร้าทั้งหมดแล้ว เขาก็คิดว่าตัวเขาเองก็หลุดไม่ได้เหมือนกัน คือถ้าใครหลุดสักคนคงมองหน้ากันไม่ติดแน่ ก็เลยซ้อมบทกันอย่างเคร่งเครียดทีเดียว แต่ก็พยายามบอกพวกเขาว่างานมันก็มีความสนุกด้วย ไม่ต้องเครียด คัทก็คือคัท อย่างก่อนถ่ายจริงเราก็มาซ้อมที่สถานที่จริงล่วงหน้าก่อนหนึ่งวันด้วยครับ ความรู้สึกแรกในการนั่งแท่นเป็นผู้กำกับยากง่ายมากน้อยแค่ไหน ความรู้สึกแรกเลยรู้สึกเขินครับ จนตอนนี้ก็ยังเขินอยู่ถ้ามีใครมาบอกว่าผู้กำกับก็ยังไม่ยอมรับครับ เพราะผมรู้สึกว่าความเป็นผู้กำกับของแต่ละคนที่อยากร่วมงานด้วยใน 3 คนนี้ เขาเจ๋งมาก ความรู้สึกที่ได้กำกับหนังครั้งแรกในด้านหนึ่งมันก็รู้สึกตื่นเต้น รู้สึกว่าอันนี้คือสิ่งที่เราฝันถึงตลอดครับ แล้วก็จริงๆ แล้วในความเขินมันอาจจะไม่กล้ายอมรับว่าเรามาถึงแล้วหรือเปล่า ก็ยังตื่นเต้นแล้วลุ้นกับมันมากครับ จากที่เคยฝันไว้ว่าจะได้เป็นผู้กำกับ พอมาได้ลงมือทำจริงๆ แล้ว มันมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหนจากที่เคยคิดเอาไว้ มันก็มีทั้ง 2 ส่วนนะครับ ด้านหนึ่งก็รู้สึกว่าเหมือนมันจะไม่ยากอย่างที่คิดคือพยายามหนีตลอดพยายามปฎิเสธตลอดว่าคงทำไม่ได้หรอก แต่พอทำเข้ามันก็รู้สึกว่ามันก็สนุกดีนะครับในแง่มุมที่ว่าไม่ยากสนุกดีมีคนแบบช่วยเราทำงานเต็มไปหมดเลย แต่ในส่วนที่ยากเรารู้สึกว่ายากกว่าที่คิดคือพอมันออกมาแล้วเรารู้สึกว่ามันมีอีกหลายจุดเลยที่เราไม่ได้เต็มที่กับมัน ถ้ามีเวลาเพิ่มขึ้นอยากจะกลบตรงนั้นเพิ่มตรงนี้อะไรแบบนี้ครับ แล้วจริงๆ ความรู้สึกตอนนี้คือเริ่มมันมืออยากจะกำกับหนังต่อไปอีกอะไรอย่างงี้ครับ จากที่เมื่อก่อนเป็นคนเขียนบท พอมาวันนี้ได้นั่งกำกับจินตนาการตัวเองแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง คือตัวผมเองเป็นคนขี้เกรงใจมาก ปกติเวลาเราเขียนการ์ตูน วาดผิดหรือไม่พอใจเราก็แค่ใช้ยางลบลบแล้วเขียนขึ้นมาใหม่ก็แค่นั้นไม่เดือดร้อนใคร แต่พอมากำกับหนังผมรู้สึกว่าแต่ละอันที่ผมจะทำต้องระวังให้ดี อันไหนที่เราจะเอาหรือไม่เอามันต้องพูดกันให้ชัดเจน เราจะพูดอะไรลอยๆ ไม่ได้ เพราะทุกอย่างที่ทำมันเกิดขึ้นจริง ไม่สามารถลบได้ด้วยยางลบแล้ว เขาวางแนวทางมาแล้ว แล้วเราไปบอกว่ามันไม่ใช่แบบนี้ มันก็อาจที่จะเจ็บตัวได้ เพราะทุกคนเขาก็เตรียมตัวและเต็มที่กันหมดแล้ว ก็จะรู้สึกกดดันบ้าง แต่ก็สนุกดี เหมือนมีคนมาช่วยเราวาดการ์ตูนเพิ่มขึ้น ปกตินั่งโต๊ะคนเดียว เขียนคนเดียว แต่นี่เหมือนทุกคนมาช่วยกันหมด เหมือนช่วยลงสี ช่วยตัดเส้น ก็รู้สึกดีครับ ช่วยคิดช่วยทำช่วยเสนอไอเดียกัน จุดเด่นของ “เกรียนล้างโลก” มันเป็นหนังที่สะท้อนถึงปัญหาสภาวะโลกร้อน ทุกคนต่างก็พูดกันจนชินชาจนดูเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดากันไปแล้ว แต่ถ้ามีคนๆ หนึ่งคิดที่จะลงมือแก้ไขปัญหานั้นขึ้นมาจริงๆ มันก็จะเชิงประชดประชันสักหน่อย เราก็คิดว่ามันน่าที่จะกระตุกจิตสำนึกของคนได้บ้างไม่มากก็น้อย มันเป็นปัญหาที่ไม่น่าจะเพิกเฉยแม้ว่าจะพูดกันจนดาษดื่น เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แต่ถ้าหากว่ายังเพิกเฉยกันอยู่ซักวันเราอาจได้เห็นจุดจบของมนุษย์เหมือนในหนังก็เป็นได้ จุดเด่นอีกอย่างก็คือวิธีการถ่ายทำครับ คือพอเราคุยกับทีมงานปุ๊บ คือมันเป็นเรื่องสั้นๆ แล้วก็เล่าจากจุดเล็กๆ ที่คุยกันบนโต๊ะแล้วก็ใหญ่จนเป็นแบบทั้งประเทศทั้งโลกก็ลองคุยกับทีมงานว่า เป็นไปได้ไหมที่ผมจะถ่ายความคิดนี้ด้วย Long Take เป็นการถ่ายแบบไม่ตัดเลย เพราะจริงๆ ลึกๆ ผมมีความชื่นชมการLong Take อยู่นะครับไม่ว่าจะเป็นแบบหนังนอกหรือหนังไทย ผมรู้สึกว่ามันเป็นการวัดมืออาชีพอะไรบางอย่าง แล้วก็การถ่าย Long Take มันสวยดี เพราะว่ามันทำให้เรามีอารมณ์ร่วมไปในเหตุการณ์นั้นด้วยครับ อีกอย่างก็คือว่ามันมีความเป็นการ์ตูนสูงมาก มีบางคนเขาบอกว่าถึงไม่บอกก็รู้ว่าเป็นเอกสิทธิ์ คือสำหรับคนที่คุ้นเคยอาจจะชอบนะ ส่วนคนที่ไม่คุ้นเคยอาจจะรู้สึกว่ามันดูโคตรไม่จริงเลย ก็ยังก้ำกึ่ง รอฟังวิจารณ์อยู่ เพราะว่ามันอาจจะเป็นจุดเด่นหรือจุดด้อยของเราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็ได้ทำออกมาแล้ว เรื่องนี้ถือว่ายากที่สุดตั้งแต่ที่เคยทำมามั้ย เพราะว่าต้องเขียนบทถึง 4 เรื่องแล้วก็กำกับอีก จริงๆ รู้สึกสนุกที่สุดตั้งแต่ทำมาเลยครับ เพราะว่าเหมือนได้ปล่อยของโดยที่ไม่มีข้อจำกัดมากนักเพราะว่ามันเหมือนจะใกล้เคียงตัวละครที่สุดครับ เกือบๆ จะเป็นตัวเราทั้งหมด แต่ว่ามันเป็นการบวกผู้กำกับคนอื่นๆ เข้ามาด้วย ซึ่งก็เข้าทางเราเหมือนกันก็เป็นงานถือว่าไม่ค่อยกดดันเท่าไรนะ สนุกดี แต่จะมีกดดันก็ตรงที่ต้องกำกับเองนี่แหละที่รู้สึกเกร็งๆ นิดนึงครับ ความคาดหวังต่อหนังเรื่องแรกเป็นอย่างไรบ้าง สำหรับตัวผมๆหวังไว้สูงมาก มันเหมือนเป็นการเปิดตัวเราครั้งแรก ครั้งนี้เราได้ลองทำเองแล้ว ส่วนอนาคตจะได้ทำอีกหรือไม่ได้ทำมันก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็ขอเต็มที่กับมันให้ถึงที่สุด แม้หนังมันจะเป็นตอนสั้นๆ แต่ก็เต็มที่ เป็นการทำงานที่ไม่ได้เผื่อแป้กกันไว้เลย เพราะมีเท่าไหร่ก็ใส่กันเต็มที่เต็มเหนี่ยวกันทุกคนครับ ก็อยากให้คนดูเยอะๆ นะครับอย่างตอนนี้ก็รู้จักใครก็บอกเพื่อนหมดเลย เพราะว่าทำแล้วก็คาดหวังให้สนุก คาดหวังให้ทุกคนรู้สึกสนุก ก็เป็นการปลดปล่อยสิ่งที่เราอยากดู แล้วก็ทำโดยผู้กำกับฝีมือเฉียบๆ ทั้งนั้นเลย ผมรู้สึกสนุกแล้วก็คาดหวังว่าคนดูน่าจะสนุกและชอบทางนี้ และจะได้มีหนังแบบนี้ให้ดูกันอีก ความน่าสนใจของโปรเจ็กต์ “หลุดสี่หลุด” คือ “หลุดสี่หลุด” หลายคนอาจจะมองว่ามันเป็นหนังรวมเรื่องสั้น อย่างเช่นพวกหนังผี ผมอยากจะบอกว่าอย่าเพิ่งคิดแบบนั้น มันอาจจะเป็นการรวมเรื่องสั้นเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องสั้นที่ไม่ธรรมดาเลย ได้ผู้กำกับและนักแสดงคุณภาพมากมายที่มาช่วยสร้างสีสันให้หนังเรื่องนี้ ส่วนโครงเรื่องผมรับประกันเลยว่าแปลก แต่ไม่ได้แปลกจนดูไม่รู้เรื่องนะ มันเหมือนหนังรสชาติใหม่ๆ ที่เรายังสนุกกับมันได้ครับ มีทั้งตลก ทั้งลุ้นจนแทบหยุดหายใจ บางครั้งมาสามอารมณ์พร้อมๆ กัน ทั้งตลก ทั้งลุ้น ทั้งน่ากลัว มันเหมือนกับว่าถ้าคุณดูหนังเรื่องนี้จะเหมือนกับคุณเล่นกับอารมณ์คุณอยู่ เหมือนนั่งรถไฟเหาะตีลังกา ประมาณนั้นเลย มันเป็นแนวเพี้ยนๆ จิตหลุดครับ เป็นแนวแปลกๆ เน้นสนุกสนุกที่รสชาติแบบแปลกๆ เพี้ยนๆ หน่อยตรงที่ขุดด้านมืดบิดๆ เบี้ยวๆ ของคนออกมาตีแผ่ให้มันสนุก แล้วก็รู้สึกว่าเออ...จริง เราเห็นด้วย คนดูอาจจะมีบางแง่มุมคล้ายตัวละครในเรื่องก็เป็นได้ โปรเจ็คต์นี้มันน่าสนใจมากๆ ผมรู้สึกว่าคือการรวมผู้กำกับซึ่งพอบอกชื่อไป คนดูก็น่าจะนึกออกว่าแนวหนังน่าจะประมาณไหน เป็นความชัดเจนของผู้กำกับแต่ละคนซึ่งชัดมากครับในตัวตนของแต่ละคน และชัดมากในทางที่เขียน ผมว่าเป็นอะไรที่มันหลุด ปล่อยออกมาแบบสุดๆ มีอะไรก็ใส่กันอย่างที่เขาเรียกว่าใส่เต็มจัดเต็มอะไรแบบนั้นนะครับ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ