บทสัมภาษณ์ ผู้กำกับมากฝีมือ “ก้องเกียรติ โขมศิริ” กับโปรเจ็คต์ใหม่น่าจับตา “หลุดสี่หลุด”

ข่าวบันเทิง Monday January 10, 2011 15:14 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--10 ม.ค.--สหมงคลฟิล์ม ผู้กำกับมากฝีมือ “ก้องเกียรติ โขมศิริ” กับโปรเจ็คต์ใหม่น่าจับตา “หลุดสี่หลุด” ในตอน “ร้านของขวัญเพื่อคนที่คุณเกลียด” ตอนที่ได้อ่านบทหนังเรื่องนี้ครั้งแรก รู้สึกยังไงบ้าง ก็รู้สึกชอบเลย ไม่ได้แก้อะไรมากมายเลย อย่างของมะเดี่ยว ของเอกสิทธิ์ หรือของพี่ใหม่ ยังมีแก้ไขปรับบทกันบ้าง แต่อย่างของผม พอเอกสิทธิ์ยื่นมาให้ เราก็ไม่ได้แก้อะไรเยอะเลย เราแค่ขยับเรื่องความจัดจ้าน หรืออารมณ์ในแง่ของการกำกับ แต่เนื้อเรื่องโดยรวมเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย บทมันมาดีอยู่แล้ว เราก็เลยคงของเขาไว้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์แหละ มันเป็นงานของเขา เราก็ต้องให้เกียรติเขา เรื่องราวของ “ร้านของขวัญเพื่อคนที่คุณเกลียด” คือชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นร้านของขวัญเพื่อคนที่คุณเกลียด มันก็เป็นร้านของขวัญที่คุณเกลียดใคร คุณอยากแช่งชักหักกระดูกใคร คุณหมั่นไส้คนนี้ แต่คุณทำเองไม่ได้ คุณมาบอกร้านของขวัญแห่งนี้ ร้านของขวัญแห่งนี้จะมีของขวัญทุกอย่างที่จะส่งให้กับคนที่คุณเกลียด หรือเลือกได้ว่าอยากจะเอาของขวัญระดับไหน จะเอาถึงตายเลยมั้ย หรือจะเอาให้มันอาย นี่คือคอนเซ็ปต์ของร้านนี้ จุดเด่นในตอน “ร้านของขวัญเพื่อคนที่คุณเกลียด” คือโปรเจ็คต์นี้ผมมองว่ามันสนุก แล้วถามว่าจุดเด่นของร้านของขวัญฯ มันอยู่ตรงไหน มันก็ต้องไปเริ่มที่วิธีคิดในการทำโปรเจ็คต์ “หลุดสี่หลุด” นี้ทั้งหมด คือเราก็อยากทำงานที่เซอร์เรียล ที่เหนือจริงหน่อย มันไม่ใช่โลกที่มี ที่เราจะเจอกันได้ทุกวันหรอก เพราะฉะนั้นหนังมันจะไม่ตั้งคำถามว่า “จริงหรือไม่จริง” หนังมันจะตั้งคำถามว่า “ถ้ามันหลุดแล้วมันจะไปไหน” อย่างเรื่องร้านของขวัญฯ เราก็อาจไม่รู้หรอกว่ามันมีอยู่ในโลกหรือเปล่า แต่ชื่อมันน่าสนใจไง เราเคยเห็นร้านกิฟต์ช็อป ร้าของขวัญดีๆ อะไรหลายๆ อย่างเยอะแยะ แต่ถ้ามันมีร้านของขวัญแบบในเรื่องนี้จริงๆ เหมือนกันล่ะจะเป็นยังไง เราว่ามันก็สนุกดี มีสไตล์แอบประชดประชันสังคมบ้าง เหมือนจะแทงข้างหลังกันตลอดเวลา เหมือนจะให้ของขวัญกัน แต่จริงๆ แล้วของขวัญนั้นมันจะคือของขวัญตามความหมายนั้นจริงๆ หรือเปล่า เราก็คิดว่ามันน่าสนใจ แตกต่างจากผลงานที่ผ่านมายังไงบ้าง ก็แตกต่างนะ ผมไม่ค่อยกำกับบทคนอื่น ส่วนใหญ่งานที่ผ่านมาเราก็จะเขียนเอง โดยส่วนตัวเราชอบงานของเอกสิทธิ์ แล้วงานของเอกสิทธิ์มันก็จะออกมาในทางดาร์กๆ หม่นมืดซึ่งเป็นทางที่เราทำอยู่บ่อยๆ อยู่แล้ว แต่สิ่งที่เอกสิทธิ์จะแตกต่างจากก้องเกียรติก็คือ เอกสิทธิ์จะมีความเป็นการ์ตูนกว่า อย่างงานของผมมันจะมีความเป็นจริงมากๆ แต่งานของเอกสิทธิ์มันจะดูเพ้อฝัน ดูมีจินตนาการ เอกสิทธิ์จะเหมือนกับ “คริสโตเฟอร์ โนแลน” ทำแบทแมนให้เป็นเหมือน “The Dark Knight” คือมันอยู่บนเส้นแห่งความดาร์กก็จริง แต่มันมีความเป็นแฟนตาซี ฉะนั้นเราก็ต้องมาตีความต่อ แต่เราจะไม่แตะต้องกับไอเดียเริ่มต้น คือเราก็ต้องให้เกียรติเขา ในเมื่อเราอยากทำงานของเขา ก็เลยเอางานของเอกสิทธิ์มาทั้งดุ้น แล้วก็เลือกมองว่าเราจะทำมุมไหน ก็คุยกับเอกสิทธิ์ว่าเราจะไปในมุมนี้นะ ก็คือเอามาต่อยอดสิ่งที่เขาคิดมา เช่น ในบทบอกว่าร้านของขวัญซึ่งเป็นร้านที่ตั้งขึ้นมาร้านหนึ่งเหมือนร้านขายกิ๊ฟต์ช็อปทั่วไป แต่เราคิดว่ามันน่าเป็นรถ ร้านอย่างนี้มันไม่น่าอยู่กับที่ ไม่อย่างนั้นมันอาจจะโดนตำรวจมาเล่นได้ มันเลยน่าจะเป็นรถ แล้วรถมันควรจะเป็นอย่างไร มันก็น่าจะเป็นรถคอนเทรนเนอร์ทรงกล่องของขวัญ แล้วมันก็เป็นร้านของขวัญที่ค่อยๆ เคลื่อนที่ไปพร้อมกับเพลงน่ารักๆ แต่ชวนหลอนๆ อยู่อะไรอย่างนี้ เราก็ต่อยอดกันไป มีการวางตัวนักแสดงไว้อย่างไรบ้าง หลักๆ แล้วคาแร็คเตอร์ก็ยังมาจากบทอย่าง “บอย ปกรณ์” ที่มารับบทเป็น “ธาดา” หรือว่า “โจ๊ก อัครินทร์” ที่มารับบทเป็น “ศุภกร” มันก็เลือกตามคาแร็คเตอร์ที่บทวางไว้อยู่แล้ว แล้วที่โจ๊กเล่นในตัวละครศุภกร มันก็คือพนักงานเงินเดือนทั่วไป อย่างบอยมันก็เหมือนกัน คือเป็นเพื่อนกันมา แต่วันดีคืนดีบอยมันได้เลื่อนตำแหน่งใหญ่โต จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เราก็เลยรู้สึกว่า 2 คนนี้เป็นเคมีที่ลงตัวกัน บอยมันก็ดูคอนทราสต์กับโจ๊กดี โจ๊กมันจะเหมือนคนที่เก็บอะไรไว้ในใจอยู่ตลอดเวลา แววตามันจะดูมีความเศร้า มีความกบฏอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่เราเห็นในตัวบอยก็คือมันมีความทะเยอทะยาน ทั้งแววตาและการพูด เราสัมผัสได้อ่ะ ซึ่งมันต่างจากตัวโจ๊ก เพราะโจ๊กในเรื่องความทะเยอทะยาน มันไม่ได้ออกมาแบบนี้ไง มันจะเป็นความรู้สึกข้างในที่ตั้งคำถามตลอดเวลา ส่วนอีกคนหนึ่งที่เล่นเป็นคนขายของ ก็มีหลายคนที่เรามองไว้เหมือนกัน และมีหลายโจทย์ว่าเราจะเอารุ่นไหนดี รุ่นเล็ก รุ่นกลาง รุ่นใหญ่ พอดีเราเห็น “อ๊อฟ ปริญญา” ซึ่งเขาเคยเล่นเรื่อง “โกลคลับ” ด้วยกันกับโจ๊กมา แล้วผมรู้สึกว่าเด็กคนนี้มันเพี้ยนอ่ะ คืออ๊อฟมันมีอีกอาชีพหนึ่งคือเป็นทีมถ่ายภาพนิ่งเบื้องหลัง ซึ่งวิธีคิดมันน่าจะไปกับงานชิ้นนี้ได้ดี ก็เลยลองให้อ๊อฟมาลองเล่นดู ซึ่งอ๊อฟมันก็ไม่ค่อยเชื่อว่ามันจะไหว เราก็ต้องบังคับมัน ให้เชื่อเราสิ ลองเล่นเป็นตัวนี้ดู แต่เราก็ต้องมาดีไซน์คาแร็คเตอร์ใหม่ เราไม่อยากให้ภาพอ๊อฟเหมือนเรื่องโกลคลับ เราก็ดีไซน์ตัวละครคนขายของคนนี้ให้พิเศษหน่อย อย่างเช่น เวลาคุยกับใครมันชอบมองหน้า ชอบจ้องตาใกล้ๆ มองหน้าตลอดเวลา แล้วเราก็ให้ทีมงานใส่บิ๊กอายให้มัน มันก็จะมีลูกตาดำใหญ่มาก ลักษณะมันดูเพี้ยนๆ ดี มีส่วนในการคัดเลือกนักแสดงด้วยหรือเปล่า มีครับ คือเราก็ได้คุยกับทีมงานหากันอยู่หลายครั้งเหมือนกันกว่าจะมาลงตัวที่ 3 คนนี้ ซึ่งเราก็แฮปปี้ที่เราได้นักแสดง 3 คนนี้ที่เขาทำในสิ่งที่คนเขียนบทและเราต้องการได้ การแสดงของนักแสดงทั้ง 3 คนเป็นยังไงบ้าง มันก็มีการปรับกันบ้าง การปรับก็ปรับในแง่ของตัวผมเอง คือนักแสดงสามคนนี้เขาสแตนดาร์ดอยู่แล้ว ด้วยฝีมือและประสบการณ์ เขาผ่านเส้นของมาตรฐานอยู่แล้ว แต่ว่าถ้าเราตั้งเป้าว่าเรามาทำอะไรใหม่ๆ สำหรับการกำกับนักแสดง เราก็อยากให้นักแสดงเล่นอะไรใหม่ๆ ก็โอเค อย่างมิติในตัวละครของบอยก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างยาก มันจะต้องทำยังไงทั้งน่ารักและน่ารังเกียจในเวลาเดียวกัน ความยากง่ายในการทำหนังสั้นกับหนังยาว มีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน คือหนังสั้นกับหนังยาวมันต่างกันอยู่แล้ว มันต่างกันในแง่ของวิธีการ พูดง่ายๆ คือหนังยาวมันมีเวลา มีลูกล่อลูกชน คือระยะเวลาที่มันมีให้มากกว่า แต่หนังสั้นมันเหมือนมีดสั้นอ่ะ ต้องเข้าเป้าแล้วต้องได้ผล เพราะฉะนั้นเวลาเราทำหนังสั้นมันจะติดลีลา ตอนเราทำหนังยาวมันจะติดเก็บเล็กเก็บน้อย แต่หนังสั้นมันไม่ได้มีพื้นที่ขนาดนั้น ใส่ไปก็โดนตัดออก พอเป็นหนังสั้นเราจะทำอย่างไรให้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงมันโดนที่สุด แล้วร้านของขวัญที่จริงจะทำเป็นหนังยาวก็ได้ เพราะมันมีเนื้อมีฉากเยอะ มันไม่ใช่หนังที่มีฉากแค่ 2 โลเกชั่นจบ แต่มันมีหลากหลายกว่านั้น แต่เราจะอัดมันยังไงไม่ให้ดูเยอะจนคนดูจับต้องอะไรไม่ได้ มันเป็นการบาลานซ์ระหว่างเวลาการทำงานและตัวนักแสดงที่จะสื่อสารออกไปด้วย มีการใช้ซีจีมากน้อยแค่ไหน คือโดยส่วนตัวผมเป็นคนทำหนังที่ไม่ค่อยใช้ซีจีเท่าไหร่อยู่แล้ว เพราะว่ามันมีเงื่อนไขของเวลาและอะไรหลายๆ อย่าง ฉะนั้นผมคิดว่าถ้ามีซีจีคงไม่ได้เข้ามาเพื่อสร้างอะไรที่มันหวือหวา แต่ใช้ซีจีเพื่อเข้ามาซัพพอร์ตให้หนังมันสมบูรณ์มากขึ้น เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เลยไม่ได้เน้นหนักที่ซีจี จะเน้นหนังเรื่องเทคนิคสดๆ มากกว่า ถ่ายหนังแบบเบสิคเลย พึ่งพาคอมพิวเตอร์ให้น้อยที่สุด มันอาจจะดูบ้านๆ ที่สุด แต่มันก็ได้ความดิบดี อุปสรรคในการถ่ายทำ ก็เป็นเรื่องของเวลาแหละครับ ซึ่งถามผม ผมว่ามันยังน้อยเกินไป แล้วมันบีบหัวใจผมมาก การทำงานในเวลาที่มันจำกัด แล้วช่วงเวลาที่เรากำกับมันก็เป็นปัญหาสามัญไง เป็นช่วงเวลาหน้าฝน แล้วเวลาน้อยอยู่แล้ว แล้วไปเจอฝนอีก มันก็ยาก อย่างฉากที่ปวดหัวที่สุดก็เป็นฉากทางรถไฟ ซึ่งเป็นฉากที่ตัวละคร 2 คนต้องอยู่ที่กลางรางรถไฟแล้วมีรถไฟวิ่งเข้ามา แล้วไปถ่ายที่สถานนีรถไฟสามเสน แล้วก็มีฝนปลอม การบาลานซ์คิวเอฟเฟ็คต์มันก็ยากอยู่แล้วสำหรับสถานที่อย่างนั้น เพราะรางรถไฟมันก็ยังใช้งานอยู่ เวลารถไฟมาเราก็ต้องยกของหลบกัน พอรถไฟไปเราก็มีเวลาถ่ายกันอยู่แป๊บเดียว บวกกับมันเป็นซีนอารมณ์ ซีนดราม่าอะไรหลายๆ อย่างอยู่ในนั้น แล้วมันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันสุดๆ เลย ด้วยความซวยเราอยากได้ภาพสวย เราก็เลยไม่เลือกทางรถไฟที่มันตรง เราก็เลือกช่วงทางที่มันมีการสลับราง และมันมีฝนตกลงมา บอยนอนอยู่ แล้วซักพักบอยดิ้นผับๆๆ ทีมงานก็วิ่งไปดูก็ปรากฏว่าไฟดูด คือด้วยความที่ฝนตกมีน้ำ แล้วพอเขาสับรางรถไฟมันก็มีกระแสไฟวิ่งมาตามรางไง มันก็เลยไหลเข้ามาที่บอย ก็โดนไปดูดซะงั้น แต่มันก็ต้องถ่ายอ่ะ คือซีนนั้นเป็นซีนที่ถ่ายทั้งๆ ที่โดนไฟดูด เราก็สงสารนะ กว่าจะผ่านไปได้ก็ปวดหัวกับซีนนี้มากอยู่ คาดหวังกับหนังเรื่องนี้อย่างไรบ้าง ผมว่ามันน่าสนใจ มันมีความแปลก มันเหมือนอัลบั้มเฉพาะกิจที่นักดนตรีมาร่วมแจมกันในอัลบั้มหนึ่ง มาร่วมแจมอะไรสนุกๆ ซักครั้งหนึ่งดีมั้ย ผมว่าผู้กำกับแต่ละคนก็จะมีแนวทางของตัวเองต้องกลับไปทำ มะเดี๋ยว, พี่ใหม่ หรือตัวผมเอง ก็ต้องเอามาเจอกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาตัวผมเองใส่ไปทั้งหมด ฉะนั้นโจทย์คำว่า “หลุดสี่หลุด” มันเลยน่าสนใจตรงที่...คือยังไงมันก็เป็นมะเดี่ยว เป็นพี่ใหม่ เป็นโขม และเอกสิทธิ์ แต่ถ้าแต่ละคนทำอะไรที่มันหลุดๆ แล้วมันจะเป็นยังไง ผมก็ว่ามันน่าจะสนุก สุดท้ายคนดูก็จะได้ดูอะไรที่มันแตกต่าง เพราะถึงยังไงสุดท้ายก็จะได้ดูงานดีๆ อย่าง “รักแห่งสยาม” หรือ “13 เกมสยอง” จากมะเดี่ยวอีกอยู่ดี หรือว่า “นาคปรก” จากพี่ใหม่อีกอยู่ดี หรือหนังใหม่ของผมอีก ฉะนั้นตรงนี้มันก็เหมือนศาลาพักใจพักกาย แต่ก็ยัได้ทำอะไรสนุกๆ อยู่ดี คิดว่าจะได้กลับมารวมกันอีกมั้ย ก็มีสิทธิ์ คือบอกแล้วว่ามันเป็นความสนุก สุดท้ายพอเราแยกย้ายกันไปทำงานอะไรกันแล้ว มันก็คงมีสักวันหนึ่งที่มันต้องรู้สึกว่ามารวมกันหลุดอีกทีดีไหม สำหรับคนทำผมว่ามันคุ้มทั้งคู่ คนดูก็ได้ดูอะไรที่มันแตกต่าง คนทำเองก็ได้ทำอะไรที่มันแตกต่าง ฉะนั้นการได้ทำอะไรที่มันแตกต่าง มันสนุก ได้มาแจมกัน มันสนุกดี ถ้าร้านของขวัญเพื่อนคนที่คุณเกลียดมีขึ้นมาจริงๆ บนโลกใบนี้ คิดว่าโลกของเราจะเกิดอะไรขึ้น ร้านนี้ก็ขายดีน่ะสิ คนคงซื้อกันเต็มไปหมด คือตอนนี้คนเราเกลียดกันเยอะครับ สังคมไทยสังคมบ้านเราคนมันเกลียดกันเยอะ ผมว่าถ้ามีร้านอย่างนี้ขึ้นมาจริงๆ คนคงแทงกันยับ เพียงแต่ว่าหนังเรื่องนี้มันอาจจะพูดในมุม Negative แต่ว่าสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่ามันยังจบด้วยมุม Positive นะ มันยังพูดถึงความรัก เฮ้ย...จะมาเกลียดกันทำไม ถ้าถามว่าร้านอย่างนี้มันมีในสังคมจริงๆ เราก็ภาวนาให้มันเจ๊ง แต่สำหรับเรา เราว่ามันจะขายดี ใครจะไปรู้จริงมั้ย เดี๋ยวนี้เราเข้าเน็ตเจอร้านประหลาดๆ ตั้งไม่รู้เท่าไหร่ นิยามคำว่า “จิตหลุด” ตามความคิดของก้องเกียรติ ก็แปลว่าหลุด แต่คำว่าหลุดไม่ได้แปลว่ารั่วหรือว่ามั่วซั่วนะ แต่มันหลุดจากสิ่งที่เราทำอยู่ประจำ หลุดจากวิธีคิดที่เราคิดอยู่ประจำ หลุดจากโลกที่เราเห็นว่า โอเค ตื่นเช้ามาทำงาน แล้วต้องมาเจอแบบนี้ๆ ในความธรรมดาของมัน เราลองคิดให้มันหลุดและความหลุดมันเชื่อมอยู่ในโลกธรรมดา คือคำว่าหลุด อย่าไปคิดว่ามึงต้องใส่ชุดอวกาศมาทำงานหรือเปล่า ใส่ชฎาออกไปเดินหรือเปล่า คือมันไม่ใช่นะ แต่มันเป็นความธรรมดา แต่มันอาจจะมีบางอย่างที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้นเสมอ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ