กรุงเทพฯ--20 ม.ค.--ธนาคารธนชาต
กลุ่มธนชาต (TCAP) เจ๋ง โชว์ผลประกอบการปี 53 โตก้าวกระโดดขึ้นทุกด้านสินทรัพย์โต 91.7% สินเชื่อโต 110.9% เงินฝากโต 100%ด้านกำไรกวาดไป 5,639 ล้านบาท
บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP รายงานผลประกอบการปี 2553 โตขึ้นแบบก้าวกระโดดทุกด้าน โดยสินทรัพย์เติบโตร้อยละ 91.8 สินเชื่อเติบโตร้อยละ 110.9 และเงินฝากโตร้อยละ 100 ส่วนกำไรทำได้ 5,670 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารธนชาตและบริษัทย่อย (รวมธนาคารนครหลวงไทยและบริษัทย่อย) มีกำไร ปี 2553 เท่ากับ 8,777 ล้านบาท พร้อมเผยความคืบหน้าการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารธนชาตกับธนาคารนครหลวงไทย ขณะนี้ได้เสนอแผนการโอนกิจการทั้งหมดของนครหลวงไทยมายังธนาคารธนชาต ต่อ ธนาคารคารแห่งประเทศไทยแล้ว โดยคาดว่าการโอนกิจการจะแล้วเสร็จในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP เปิดเผยว่า ปี 2553 ที่ผ่านมา เป็นปีที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการเติบโตของกลุ่มธนชาต เนื่องจากธนาคารธนชาต ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการธนาคารนครหลวงไทย จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ และจากการเข้าทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของธนาคารนครหลวงไทยจากผู้ถือหลักทรัพย์รายย่อยอื่น (Tender offer) ทำให้ปัจจุบันธนาคารธนชาตถือหุ้นในธนาคารนครหลวงไทยรวมทั้งสิ้นร้อยละ 99.95 ซึ่งมีผลทำให้บริษัททุนธนชาต ที่เป็นบริษัทแม่ของธนาคารมีสินทรัพย์ขยายตัวแบบก้าวกระโดดโดยมีการเติบโตสูงถึงร้อยละ 91.7 จากจำนวน 459,965 ล้านบาท เป็นจำนวน 881,915 ล้านบาท รวมทั้งเงินให้สินเชื่อมีการเติบโตถึงร้อยละ 110.9 และ มีการกระจายตัวของสินเชื่อที่เหมาะสมมากขึ้นจากเดิมที่สินเชื่อส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเช่าซื้อ นอกจากนี้ฐานเงินฝากยังมีการขยายตัวกว่าร้อยละ 100 ทำให้มีเงินฝากเพิ่มขึ้นจากจำนวน 265,871 ล้านบาท เป็นจำนวน 532,382 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการของ บริษัท ทุนธนชาต หรือ TCAP ในปี 2553 มีกำไรสุทธิ 5,639 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 ซึ่งเป็นไปตามหลักการบัญชีโดยทั่วไปที่ผลการดำเนินงานที่แสดงในงบการเงินรวมเกิดจากการรับรู้รายได้และค่าใช้จ่ายตามสัดส่วนการถือหุ้นของธนาคารนครหลวงไทย ขณะที่ด้านสินทรัพย์และหนี้สินเป็นการรับรู้ทั้งจำนวน ทำให้ด้านสินทรัพย์เติบโตเกือบร้อยละ 100 ขณะที่บริษัทฯ ยังคงมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิที่ดีมาก เนื่องจากในปี 2552 บริษัทฯ มีกำไรพิเศษจากการขายหุ้นสามัญของธนาคารธนชาตให้กับ สโกเทียแบงก์จำนวน 1,902 ล้านบาท (หลังหักภาษีเงินได้) หากไม่รวมรายการดังกล่าวกำไรสุทธิของบริษัทฯและบริษัทย่อยจะมีการเติบโตถึงร้อยละ 76.8 ในปี 2553
โดยปัจจัยหลักที่ทำให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ ได้แก่การบริหารจัดการด้านสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก ทำให้ในปี 2553 บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราส่วนหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อลดลงจากร้อยละ 1.0 เหลือเพียงร้อยละ 0.3 ถึงแม้ว่าในช่วงปลายปีบริษัทฯ จะได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม ประกอบกับภาวะดอกเบี้ยที่มีการปรับตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี แต่บริษัทฯและบริษัทย่อยยังสามารถรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ร้อยละ 3.5 แต่อย่างไรก็ตามจากภาวะตลาดทุนที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ มีค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50 รวมทั้งรายได้ค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 65.6 ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตราส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยต่อรายได้รวมที่ร้อยละ 44.5 รวมทั้งบริษัทฯ สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโดยมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมลดลงจากร้อยละ 65.3 ในปี 2552 เป็นร้อยละ 62.6 ในปี 2553 หากหักค่าใช้จ่ายจากการรับประกันภัย/ประกันชีวิต อัตราส่วนดังกล่าวจะอยู่ที่ร้อยละ 53.6 ด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวมา ทำให้บริษัทฯ มีผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย(ROAA) ที่ร้อยละ 1.4 และผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) ที่ร้อยละ 16.5
นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปี 2553 ของทั้งธนาคารธนชาต และธนาคารนครหลวงไทย มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารธนชาตและ บริษัทย่อย (รวมผลการดำเนินงานของธนาคารนครหลวงไทยและบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิเท่ากับ 8,777 ล้านบาท การเติบโตของกำไรของทั้ง 2 ธนาคารมาจากการรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย การบริหารติดตามหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ การขายข้ามผลิตภัณฑ์ (Cross-sell) รวมทั้งการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม
นายสมเจตน์ กล่าวถึง ความคืบหน้า แผนการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารธนชาต กับธนาคารนครหลวงไทย ว่า ธนาคารทั้ง 2 แห่ง ได้ร่วมกันเสนอแผนการโอนกิจการทั้งหมดของธนาคารนครหลวงไทย มายังธนาคารธนชาต ต่อ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไปเรียบร้อยแล้ว โดยหลังจาก ธปท. ให้ความเห็นชอบแผนดังกล่าวแล้ว ธนาคารทั้ง 2 แห่ง จะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาอนุมัติการรับโอนและการโอนกิจการต่อไป ซึ่งคาดว่าการโอนกิจการจะเสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ภายในในปีนี้ และจะคืนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของธนาคารนครหลวงไทยให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยต่อไป