กรุงเทพฯ--15 พ.ค.--สช.
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ได้จัดประชุมเพื่อขอความเห็นกรณีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ขอแก้ไข พ.ร.บ.วัตถุอันตราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ….. ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น ที่ประชุมซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการจากกรมส่งเสริมการเกษตร และสำนักงานมาตรฐานการเกษตรและอาหารแห่งชาติ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ฝ่ายเลขานุการแผนยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีแห่งชาติ เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก มูลนิธิสาธารณสุขเพื่อการพัฒนา มูลนิธิการศึกษาไทย กลุ่มรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม มูลนิธินโยบายสุขภาวะ และมูลนิธิสายใยแผ่นดิน มีความเห็นพ้องให้ สช. ทำหนังสือแสดงความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ.วัตถุอันตราย ไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา เพราะเหตุผลการแก้ไขกฎหมายนี้ไม่ชัดเจน และไม่แสดงถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการปรับปรุงแต่อย่างใด
นายแพทย์อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า มีหลายประเด็นไม่ควรแก้กลับมีการแก้ไข อย่างการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนสามารถผลิต นำเข้า หรือมีวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ซึ่งมีพิษร้ายแรงไว้ในครอบครองได้ ทั้งที่ผ่านมาห้ามนำเข้ายังมีเล็ดลอดเข้ามาได้ กรณีอย่างนี้เป็นการเพิ่มภาวะความเสี่ยงด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชนโดยไม่จำเป็น ทั้งๆ ที่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2548 ที่เห็นชอบข้อเสนอของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติเกี่ยวกับนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพประเด็นอาหารและเกษตรเพื่อสุขภาพ ที่ว่า ให้กำหนดหลักเกณฑ์ และกระบวนการควบคุมการโฆษณา และการขายตรงสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในลักษณะข้อบังคับทางกฎหมาย เพราะจากการศึกษาเรื่องระบบการตลาดสารเคมี พบว่ามีการโฆษณาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างกว้างขวางในสื่อทั้งวิทยุ โทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ โดยเน้นในพื้นที่ที่ทำการเกษตรเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีการขายตรงและการส่งเสริมการขาย เช่น การลดราคา การแจกหรือแถม การชิงโชค การขายพ่วงกับเมล็ดพันธุ์ การจัดเลี้ยง เป็นต้น ทำให้ปัจจุบันนี้เม็ดเงินที่เรานำเข้าสารเคมีทางการเกษตรมากกว่ารายได้จากการขายข้าวเสียอีก และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นปริมาณสารเคมีที่ฉีดพ่นลงบนแผ่นดินไทยในแต่ละปีนั้นมีปริมาณมหาศาล ทำให้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคได้รับสารพิษเหล่านี้กันไปโดยถ้วนหน้า แต่ข้อเสนอดังกล่าวกลับไม่ได้มีการแก้ไขใน พ.ร.บ.วัตถุอันตรายครั้งนี้ให้ชัดเจนและสามารถนำไปใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะ มาตรา 51 ระบุว่าการควบคุมโฆษณาวัตถุอันตรายให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค และเพื่อประโยชน์ในการควบคุมโฆษณาให้ถือว่าวัตถุอันตรายที่มีการกำหนดฉลาก เป็นสินค้าที่มีการควบคุมโดยคณะกรรมการควบคุมฉลากตามกฎหมาย แต่ปรากฏว่าในมาตราดังกล่าวไม่เคยมีการบังคับใช้เลย เพราะเจ้าหน้าที่ที่ดูแลกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค ไม่ชำนาญในการเรื่องเฉพาะเช่นนี้ ทำให้เกิดช่องว่างในการควบคุมการโฆษณาวัตถุอันตราย
“ ผมมองว่าการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้นับว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะกฎหมายที่เขียนมานานแล้วอาจจะไม่สอดคล้องกับสังคมที่เปลี่ยนไป แต่การแก้ไขควรคำนึงผลกระทบอย่างรอบด้าน และรับฟังความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ อย่างกว้างขวาง ดังนั้น สช.จะทำหน้าที่ประสานผู้ที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันจัดสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น เพื่อรับฟังความเห็นต่อการแก้ไข พ.ร.บ.วัตถุอันตราย ในวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ ที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ เพื่อให้ทุกภาคส่วนช่วยกันคิด ช่วยกันมองอย่างรอบด้าน ผมคิดว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากสำหรับการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ ” นพ.อำพล กล่าว
ด้านนางสาวทัศนีย์ วีระกันต์ เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก เสนอว่า องค์ประกอบของคณะกรรมการวัตถุอันตรายในมาตรา 6 มีการแก้ไขแต่เฉพาะองค์ประกอบในสัดส่วนของภาครัฐ แต่เดิมองค์ประกอบของคณะกรรมการชุดนี้มีภาคประชาชนอยู่เพียง 2 คน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการสะท้อนปัญหาอันเกิดจากผลกระทบจากการใช้วัตถุอันตราย และความเห็นจากการปฏิบัติจริงอย่างรอบด้าน ดังนั้นควรเพิ่มจำนวนผู้แทนองค์การสาธารณะประโยชน์อีกอย่างน้อย 3 คนจากผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ ผู้แทนด้านคุ้มครองผู้บริโภค เกษตรธรรมชาติ และคุ้มครองความปลอดภัยในการประกอบอาชีพ จะทำให้คณะกรรมการฯชุดนี้มีสัดส่วนที่ดีขึ้นแม้จะยังไม่สมดุล และผู้ที่แก้ กม.นี้น่าจะคำนึงถึงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2548 ที่เห็นชอบข้อเสนอของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ว่าให้มีหลักเกณฑ์และขั้นตอนกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างชัดเจน ดังนั้นเมื่อมีการแก้ไข กม.วัตถุอันตรายครั้งนี้แล้วก็ควรให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการวัตถุอันตรายตลอดทั้งกระบวนการ ไม่ใช่เพียงบริหารจัดการของเสีย หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นเท่านั้น
ผู้ประสานงานข่าว : พลินี เสริมสินสิริ 02-590-2307 089-775-9281 , ภรนภา เหมปาละ 02-590-2483