กรุงเทพฯ--27 ม.ค.--Walt Disney Studios Motion Pictures
มองผ่านเลนส์
“การได้กุยเลอร์โม นาวาร์โรมาเป็นผู้กำกับภาพของผมเป็นเหมือนพรจากฟ้าครับ” ดี.เจ.คารูโซบอก “ผมเป็นแฟนผลงานเขามาหลายปีดีดักแล้ว แต่ทุกครั้งที่ผมเช็คคิวของเขา มันก็ไม่เคยว่างซักที ในที่สุด พอ The Hobbit ถูกเลื่อนออกไป คิวของเขาก็ว่าง ผมก็เลยกระโจนเข้าใส่มันทันที การร่วมงานกับเขาเป็นประสบการณ์ที่เหลือเชื่อครับ”
“การใช้แสงของกุยเลอร์โม นาวาร์โรเกิดจากเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งผมชื่นชอบมากกว่าเรื่องทางเทคนิค
พวกเราร่วมกันสร้างแนวทางและกรอบของหนังก็น่าทึ่งจริงๆ ครับ” —ดี.เจ. คารูโซ ผู้กำกับ
“ผมมักมองหาหนังที่จะเปิดโอกาสให้ผมได้สร้างความจริงขึ้นมา โดยที่ไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดความจริงที่มีอยู่เสมอไป” นาวาร์โรบอก “แม้ว่าในกรณีนี้ มันจะมีความเกี่ยวโยงกันอย่างใกล้ชิดกับโลกความจริงที่มีอยู่ของเรา และอยู่ในสมัยเดียวกับเรา มันก็ยังมีอีกเรื่องราวเกี่ยวกับตัวละครที่มาเยือนโลกของเรา ที่เปิดโอกาสให้เราได้เห็นตัวเราเองในสิ่งแวดล้อมของเรามากขึ้น นั่นเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ผมสนใจหนังเรื่องนี้ครับ”
นาวาร์โรอธิบายถึงพัฒนาการวิธีการทำงานของเขาว่า “ผมคิดว่าผมได้รวบรวมเอาวัฒนธรรมต่างๆ เข้ามาในกระบวนการของผม ซึ่งทำให้ผมมองเห็นสิ่งต่างๆ ต่างออกไป มันเกิดจากการเติบโตขึ้นมาในโลกที่สาม ที่ซึ่งภาพ สีสันและกลิ่นเป็นส่วนหนึ่งของตัวคุณ ผมเติบโตมาแบบนั้น และผมก็ชินกับการใช้ภาพในการถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเอง สิ่งที่มีอิทธิพลต่อผมมากที่สุดคือผู้กำกับภาพที่ชื่อริคาร์โด อาโรโนวิช ผู้เคยเป็นอาจารย์สอนผมตอนเด็กๆ ไม่ใช่ว่าผมเลียนแบบสไตล์ของเขาหรอกนะครับ แต่ผมได้เรียนรู้จากเขาว่าจะเตรียมหนังยังไง จะสร้างมุมมองของตัวเองสำหรับสิ่งที่คุณสามารถใส่เข้าไปได้ยังไง รวมไปถึงการไม่เตรียมลูกเล่นหรือทางออกเอาไว้เยอะ หลายคนคาดหวังว่าหนังจะต้องออกมาเป็นรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เช่นหนังอวกาศน่าจะเป็นแบบนี้หรือหนังเวสเทิร์นน่าจะเป็นแบบนี้ แต่ผมไม่เชื่อว่ามันควรจะเป็นแบบนั้น”
ทิโมธี โอลีเฟนท์ เป็นแฟนผลงานของกุยเลอร์โมมานานแล้ว “I Am Number Four จะต้องออกมาดูเหลือเชื่อมากๆ” โอลีเฟนท์บอก “การใช้แสงของกุยเลอร์โมน่ะน่าทึ่งสุดๆ”
“ผมชอบวิธีการทำงานของเขาด้วยล่ะครับ” โอลีเฟนท์กล่าวเสริม “เขาตั้งชื่อกล้องทั้งหมดของเขาตามชื่อของผู้หญิงในวรรณกรรมชื่อดังของสเปน ทีมงานของเขาเคยทำงานในหนังทุกเรื่องของเขามาก่อน และเขาก็มาพร้อมกับทีมงานที่เป็นเหมือนครอบครัวของเขา มันเป็นบรรยากาศที่วิเศษสุด เขาสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับกองถ่าย ผมรู้สึกเหมือนผมได้ร่วมมือกับกุยเลอร์โมมากพอๆ กับที่ผมร่วมมือกับดี.เจ. เขาทั้งทุ่มเทและอุตสาหะ ทั้งคู่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนไดอะล็อคจริงๆ กำลังเกิดขึ้นครับ”
เข้าสู่แอ็คชั่น
นอกเหนือจากดรามาจากความสัมพันธ์แล้ว การสร้าง I Am Number Four ยังต้องอาศัยซีเควนซ์แอ็คชั่นหลากหลายรูปแบบตามความจำเป็นของตัวละครแต่ละตัวในเรื่อง เทเรซ่า พาล์มเมอร์เป็นผู้ที่ต้องแสดงฉากผาดโผนส่วนใหญ่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอเริ่มฝึกร่างกายสองเดือนก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำในพิตส์เบิร์ก พาล์มเมอร์อธิบายว่า “ฉันไม่อยากจะดูถูกหมายเลขหกด้วยการไม่เรียนรู้วิธีต่อสู้ ฉันก็เลยฝึกกับเผิงจาง ผู้ประสานงานการต่อสู้ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้ เราฝึกกันหลายเดือน โดยเน้นไปที่การเตะ ทั้งเตะข้าง เตะหลัง เตะหน้า แล้วเอาทั้งหมดนั่นผสมกับการฟันดาบเพื่อสร้างแอ็คชั่นที่ดุเดือดขึ้นมา นอกจากนี้ ฉันยังได้ฝึกการต่อสู้มือเปล่ากับทีมสตันท์ที่นำทีมโดยผู้ประสานงานแอ็คชั่น แบรด อัลลัน ผู้ฝึกให้ฉันสามารถทำงานได้เหมือนพวกเขา เป้าหมายของเราคือการเปลี่ยนฉันให้กลายเป็นตัวละครตัวนี้ ไม่ใช่ให้เสแสร้งค่ะ”
นอกจากนี้ อเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์เองก็ต้องฝึกฝนเพื่อรับมือกับฉากผาดโผนหลายฉากเหมือนกัน ฉากโปรดของเขาคือตอนที่เขาถูกเหวี่ยงเข้าไปในล็อกเกอร์ของโรงเรียนด้วยความเร็ว 40 ไมล์ต่อชั่วโมง “แอ็คชั่นมันเป็นส่วนสำคัญของซีนนั้น และคุณก็จะอินกับมันขณะที่เรื่องราวเกิดขึ้นรอบตัวคุณ ความกดดันจะช่วยเพิ่มระดับอะดรีนาลิน แม้ว่าการกระโดดถอยหลังลงจากหน้าผาจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมาก็ตามทีครับ” เพ็ตติเฟอร์กล่าว
“ผมอายุแค่ยี่สิบปี ยังเป็นเด็กตัวโตอยู่เลยครับ มีไม่กี่คนหรอกครับที่ได้มีประสบการณ์อย่างผม การได้เข้าฉาก วิ่งไปทั่ว
จับปืนเล่น และกระโดดลงจากหน้าผา ทุกอย่างสนุกจริงๆ ครับ” —อเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์
ปะทะมอกาดอเรี่ยน
การพัฒนาลุคของมอกาดอเรี่ยนเป็นกระบวนการที่ยาวนาน ทีมผู้สร้างได้ทำการค้นคว้าตัวเลือกและลุคมากมายสำหรับพวกเขา ด้วยความหวังที่จะรักษาสมดุลระหว่างความปกติและความแปลกพิลึก ในหนังสือ พวกม็อก ก็เหมือนกับพวกลอเรียน ที่ดูเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง เว้นแต่ความสูงที่ผิดแปลกของพวกเขา
“มอกาดอเรี่ยนเป็นเผ่าพันธุ์ที่น่าสนใจเพราะพวกเขาตัวใหญ่กว่าพวกลอเรียนหรือมนุษย์ธรรมดาๆ ครับ” ผู้กำกับดี.เจ. คารูโซอธิบาย “พวกเขาสูงประมาณเจ็ดฟุต หรือมากกว่านั้น พวกเขามีอาวุธและปืนขนาดใหญ่ และพวกเขาก็เคยชินกับการได้ทุกอย่างดังใจครับ”
“มอกาดอเรี่ยนเข้ามายึดครองดาวเคราะห์ โดยไม่ถามไถ่อะไรทั้งสิ้น พวกเขาเป็นเหมือนมือปืนชั่วร้ายทางตะวันตก
ที่จะตะลุยเข้ามาในเมือง ฆ่าคนไม่เลือก ทำลายทุกอย่าง และฉุดคร่าเด็กและผู้หญิง
นั่นเป็นวิถีชีวิตแบบมอกาดอร์ครับ” —ดี.เจ. คารูโซ ผู้กำกับ
คารูโซรู้สึกว่ามันคงจะน่าสนใจมากกว่าถ้านอกจากจะสูงชะลูดแล้ว พวกม็อกยังจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวและน่าหวาดหวั่นอีกด้วย เขาอยากให้พวกเขาแลดูเป็นมนุษย์ แต่ก็ทำให้คนต้องมองซ้ำสองเมื่อเห็นพวกเขา แต่มันก็เป็นเรื่องสำคัญต่อความน่าเชื่อของเรื่องราวที่พวกม็อกจะต้องกลมกลืนกับคนในสังคมอเมริกัน ดังนั้น สำหรับผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายมารี-ซิลวี เดอโวแล้ว แง่มุมที่ท้าทายที่สุดสำหรับการออกแบบเครื่องแต่งกายในภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่เสื้อผ้าสำหรับมอกาดอเรี่ยน “เราต้องหาภาพลักษณ์ที่เหมาะสม ซึ่งจะเอื้อต่อการแสดงแอ็คชั่นด้วยค่ะ” เธอบอก
เดอโวได้ดูภาพยนตร์ยุค 70s เรื่อง The Great Northfield Minnesota Raid “เราชื่นชอบโค้ทยาวระพื้นที่พวกเขาใส่กันค่ะ” เดอโวบอก “เราอยากได้สีที่มืดทึบหน่อยเพราะช็อตส่วนมากของพวกเขาจะเป็นตอนกลางคืน สีมืดทึบจะช่วยสร้างลุคที่น่ากลัวขึ้นมาได้ค่ะ”
อย่างไรก็ดี การใส่ชุดนั้นทำให้นักแสดงร้อนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางความร้อนระอุของพิตส์เบิร์กและฟลอริดา คีย์สในฤดูร้อน เดอโวต้องใช้ระบบปรับอากาศใต้ชุดและนักแสดงก็ต้องพักในเต็นท์ติดเครื่องปรับอากาศระหว่างเทค และมันก็สร้างปัญหาให้กับการเมคอัพด้วยเช่นกัน เพราะถ้าอากาศไม่เย็นพอล่ะก็ เมคอัพก็จะค่อยๆ หลุดจากหน้าพวกเขา
การทำให้มอกาดอเรี่ยนตัวสูงกว่ามนุษย์ทั่วๆ ไปก็เป็นความท้าทายอีกอย่างหนึ่ง ในการทำให้พวกม็อกมีลักษณะสูงเด่นน่าสะพรึงกลัว บรรดานักแสดงจะต้องสวมรองเท้าบู๊ทคันกูล ที่ทำให้พวกเขาสูงขึ้น 7 นิ้ว และทำให้พวกเขาเดินช้าแบบแปลกๆ รองเท้าบู๊ทพวกนั้นจะถูกหุ้มด้วยหนังปลอมเพื่อทำให้มันดูเหมือนรองเท้าบู๊ทปกติ
“เราใช้เวลาอยู่นานเพื่อทำให้พวกเขาดูสูงโดยไม่จำเป็นต้องใช้ส้นสูงน่ะค่ะ” เดอโวอธิบาย “ในที่สุด ผู้ประสานงานคิวบู๊ก็เจอรองเท้าบู๊ทสปริงพวกนี้ เราก็เลยสร้างรองเท้าขึ้นมาจากรองเท้าพวกนั้น ซึ่งก็ทำให้นักแสดงสูงขึ้นได้อีกประมาณเจ็ดหรือแปดนิ้ว แล้วด้วยความที่ว่าเควิน ดูแรนด์ ที่รับบทผู้บังคับบัญชาพวกม็อกสูงหกฟุตสี่นิ้วอยู่แล้ว ความสูงที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้เขาดูน่ายำเกรงมากขึ้นค่ะ”
เควิน ดูแรนด์กล่าวเสริมว่า “มันมีกระบอกพลาสติกแข็งอยู่ด้านใต้ ซึ่งนอกเหนือจากการทำให้เขาดูสูงขึ้นแล้ว มันยังทำให้เกิดการเคลื่อนไหวแปลกๆ ที่ทำให้เขายิ่งไม่เหมือนใครเข้าไปใหญ่ครับ”
ระหว่างกระบวนการหาลุคให้กับพวกม็อก เดอโวได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้า ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่เธอพบคือภาพถ่ายที่เธอเจอในนิตยสารยุโรปเล่มหนึ่ง ที่นายแบบมีรอยสักเป็นรูปทรงของผมบนหัว ไอเดียนั้นต่อยอดไปสู่ไอเดียที่ว่า “ผม” ของมอกาดอเรี่ยนจริงๆ แล้วเป็นรอยสัก ทีมงานยังได้ช่วยกันคิดเรื่องราวที่ว่า เมื่อทหารไต่เต้าขึ้นมาตามระดับยศในกรมกองของชาวมอกาดอร์แล้ว รอยสักของพวกเขาก็จะยิ่งวิจิตรบรรจงมากขึ้น พวกม็อกทุกคนจะมีรอยสักแบบเดียวกันเป็นฐานเริ่มต้น ก่อนที่รอยสักพวกนั้นจะยิ่งมีเอกลักษณ์ของตัวเองมากขึ้นตามยศและระดับความสามารถของพวกเขา
ด้วยเมคอัพพิเศษ ทีมงานต้องใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงในแต่ละวันเพื่อเปลี่ยนนักแสดงคนหนึ่งๆ ให้กลายเป็นชาวม็อก รอยสักเฉพาะตัวและเมคอัพเทียมสำหรับผู้บังคับบัญชาชาวม็อกและสมุนของเขามีเค้าโครงจากแบบดีไซน์ที่สร้างขึ้นที่เคเอ็นบี เอฟเฟ็กตส์ในแอลเอ ซึ่งบริหารงานด้วยโฮเวิร์ด เบอร์เกอร์และเกร็ก นิโคเทโร หุ้นส่วนทางธุรกิจของเขา
“ตอนที่เราได้รับการว่าจ้างให้ออกแบบลุคของมอกาดอเรี่ยนเราต้องการสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างดาวที่แปลกใหม่ น่าสนใจ แต่ก็ยังกลมกลืนกับมนุษย์โลก มันเป็นความท้าทายยากเย็นที่เราพร้อมจะเผชิญ และท้ายที่สุดแล้ว
เราก็คิดถึงการเมคอัพที่จะทำให้นักแสดงสามารถแสดงภายใต้ชิ้นส่วนเทียมและรอยสัก
เพื่อเนรมิตชีวิตให้กับพวกม็อกบนหน้าจอครับ” —โฮเวิร์ด เบอร์เกอร์ สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ เมคอัพ
นอกเหนือจากการแสดงตามบทบาทแล้ว เควิน ดูแรนด์ยังต้องเรียนภาษามอกาดอร์อีกด้วย “ตอนที่ผมทดลองครั้งแรก ผมออกจะหวั่นๆ กับมัน” ดูแรนด์เล่า “ผมรู้สึกแบบว่า ‘ว้าว! ไม่ยักเหมือนที่เราเคยทำมาก่อนเลย’ ผมชอบการพูดด้วยสำเนียงต่างๆ และผมเองก็พูดได้หลายภาษา แต่ภาษานี้มันต่างออกไปจริงๆ ซึ่งก็เมคเซนส์ครับ”
ภาษามอกาดอร์ถูกคิดขึ้นพิเศษสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้และได้รับอิทธิพลจากลาตินโบราณ ภาษาสลาฟและอังกฤษ มันมีกฎของมันเองเพื่อที่ผู้กำกับจะสามารถสร้างและเปลี่ยนแปลงประโยคได้ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ มีการส่งเทปที่รวบรวมการออกเสียงของคำมอกาดอร์ไปให้นักแสดงเพื่อให้พวกเขาเรียนรู้และฝึกฝนภาษานี้
“ผมต้องบอกว่า ผมหมกมุ่นกับการเรียนภาษานี้ทีละคำๆ แล้วก็ฝึกสำเนียงให้ถูกต้องน่ะครับ” ดูแรนด์บอก “ผมใช้เวลาซักพักหนึ่ง แต่ตอนนี้ผมบอกได้เลยว่าผมพูดภาษามอกาดอร์ได้คล่องเชียวล่ะ”
“พลังโบราณ” เปล่งประกายแสงเจิดจ้า
แม้ว่าลอเรียนจะตั้งอยู่ในกาแลกซีไกลโพ้น มันก็คล้ายคลึงกับโลกตรงที่ว่าชาวลอเรียนหายใจอากาศเข้าไปและมีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับมนุษย์โลกทุกอย่าง…แต่ความคล้ายคลึงกันก็จบลงแค่นั้น พวกเด็กๆ เก้าคนที่รอดชีวิตจากการถูกทำลายล้างและหนีมายังโลกมนุษย์ต่างก็มีพลังพิเศษแตกต่างกันที่เรียกว่า “พลังโบราณ”
“สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับพลังโบราณพวกนี้ก็คือทั้งเก้าคนไม่มั่นใจว่าพวกเขาจะได้รับพลังอะไร” คารูโซบอก “พอพวกเขาเริ่มโตและก้าวสู่วัยรุ่น พวกเขาก็เริ่มค้นพบสิ่งต่างๆ เช่นแสงสว่างที่มือของพวกเขา มันค่อนข้างจะเจ็บปวด และพวกเขาก็ยังไม่รู้หรอกครับว่าพวกเขาจะต้องทำอะไรกับมัน”
“ตอนที่ผมย้ายไปที่พาราไดซ์, โอไฮโอและกลายเป็นจอห์น สมิธ ผมก็เริ่มรู้สึกถึงอารมณ์รุนแรง ที่ถูกกระตุ้นโดยซาราห์” อเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์บอก “ผมมีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งเกิดจากความอิจฉาและการที่ผมตกหลุมรักเธอ อารมณ์ที่รุนแรงพวกนั้นกระตุ้นให้พลังพิเศษของผมระเบิดออกมา ครั้งแรกที่มันเกิดขึ้นคือตอนที่ผมอยู่ในชั้นเรียน มาร์ค แฟนเก่าของซาราห์ เริ่มทำให้ผมไม่สบอารมณ์และกวนใจผม ผมเริ่มจะมีความรู้สึกแปลกๆ มือผมเริ่มร้อนผ่าว แล้วเหงื่อผมก็ไหลเป็นสายเลย ตอนที่ผมวิ่งออกนอกห้อง พอผมหงายมือขึ้นดู มันก็ปรากฏแสงนี้ขึ้นมา”
เพ็ตติเฟอร์เล่าว่า “ผมจำได้ว่าก่อนหน้าที่ผมจะเล่นหนังเรื่องนี้ ผมอยู่ระหว่างดินเนอร์และผมก็เอามือไปจ่อตรงเทียนเพราะอยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไง แน่นอนว่าผมทำไฟลวกมือ แต่นั่นก็ช่วยให้ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นได้ ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ต้นกำเนิดแสงอย่างเดียวแต่เป็นต้นกำเนิดไฟด้วย ผมอยากจะนำเสนอในหนังเรื่องนี้ว่า พลังโบราณมันทำให้เกิดความเจ็บปวดจริงๆ ในตอนที่ผมเรียนรู้วิธีที่จะใช้พลังพวกนั้นน่ะครับ”
เป้าหมายของทีมผู้สร้างคือการทำให้ความสามารถพวกนี้มีลักษณะเหมือนมีชีวิต ยกตัวอย่างเช่น การทำให้แสงเหมือนจะถูกปล่อยออกมาจากมือของอเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์ในลักษณะที่เป็นธรรมชาติ ผู้กำกับภาพกุยเลอร์โม นาวาร์โรอธิบายวิธีทำงานว่า “มือของตัวละครจะสว่างวาบขึ้นและกลายเป็นต้นกำเนิดแสง เราก็เลยเล่นกับเรื่องที่ว่ามันจะส่งผลกระทบต่อเขายังไงและส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมยังไง มันเป็นเรื่องยากมากในการหาวิธีที่จะติดไฟเข้ากับมือของเขาโดยไม่ทำให้เขาเจ็บ แต่พอเราคิดวิธีได้แล้ว มันก็เจ๋งมากเลยครับ”
“แล้วผมก็มีพลังเคลื่อนย้ายวัตถุด้วย ซึ่งผมก็รู้ตัวแบบขำๆ ครับ” เพ็ตติเฟอร์บอก “ผมเถียงกับเฮนรี่แล้วก็กระแทกเขากับบ้านก่อนที่ผมจะทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น”
“หมายเลขหกมีพลังที่จะทำให้ตัวเองล่องหนค่ะ” เทเรซ่า พาล์มเมอร์อธิบาย “เธอจะหายตัวไปและไปปรากฏที่อีกส่วนหนึ่งของห้อง มันเป็นเหมือนการเคลื่อนย้ายในพริบตาค่ะ มันเป็นความสามารถสุดยอดในการต่อสู้เพราะเธออาจจะอยู่ท่ามกลางวงล้อม แล้วจู่ๆ เธอก็หายตัวไปในจังหวะที่พวกเขากำลังจะจู่โจม แล้วเธอก็ปรากฏตัวขึ้นใหม่ด้านหลังพวกเขา และจัดการกำจัดพวกเขาทิ้งจากด้านหลัง มันเป็นพลังที่มีประโยชน์มากๆ และก็ดูดีมากบนหน้าจอด้วย”
“เราต้องคิดหาเทคนิคในการทำให้หมายเลขหกปรากฏตัวและหายตัวไปน่ะค่ะ” พาล์มเมอร์บอก “มันเป็นเคิร์ฟการเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยมสำหรับฉัน มันมีทั้งองค์ประกอบ CGI และสเปเชียล เอฟเฟ็กต์จริงๆ การทำงานกับกรีนสกรีนเป็นความท้าทายเสมอ แต่มันก็เจ๋งมากๆ เลยค่ะ”
เครื่องแต่งกายจากการออกแบบ
กุญแจสำคัญในการออกแบบเครื่องแต่งกายสำหรับจอห์นและเฮนรี่คือการทำให้พวกเขาดูปกติธรรมดามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ “พวกเขาเดินทางทั่วโลกเพื่อหนีพวกม็อกค่ะ” ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย มารี-ซิลวี เดอโวอธิบาย “มันก็เลยเป็นเรื่องสำคัญที่พวกเขาจะต้องกลมกลืนกับคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จอห์น เพราะเขาเรียนอยู่ไฮสคูล เราตัดสินใจว่าเฮนรี่จะเปลี่ยนอาชีพทุกครั้งที่เขาย้าย ดังนั้นพอเขาย้ายมาพาราไดซ์ เขาก็จะเป็นนักเขียน เราก็เลยสร้างลุคศิลปินให้กับเขาด้วยเสื้อสเว็ตเตอร์และกางเกงหลวมๆ ค่ะ”
“ซาราห์เป็นตัวละครที่โรแมนติกและนุ่มนวล” เดอโวอธิบาย “แม้ว่าเธอจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเล็กๆ แต่เธอก็จะดูในอินเทอร์เน็ตว่าเธอจะใส่เสื้อผ้าแบบไหนถ้าเธอใช้ชีวิตอยู่ในนิวยอร์กหรือแอลเอ เธอมีลักษณะเด่นบางอย่าง และเธอก็แตกต่างจากคนอื่นนิดๆ เพราะเธอมีสไตล์ของตัวเอง แต่มันก็นุ่มนวล เหมือนบุคลิกของเธอในฐานะศิลปินและช่างภาพน่ะค่ะ”
“หมายเลขหกมีลุคที่เซ็กซีและอันตรายค่ะ” เดอโวบอก “เรารู้สึกว่าเธอเคยเดินทางมาแล้วทั่วโลกและก็ได้ลุคนี้มาในเบอร์ลิน”
เดอโวกล่าวต่อไปว่า “เธอเป็นตัวละครจำพวกฮีโรที่มักจะสวมเสื้อผ้าแบบเดิมๆ เธอไม่มีผู้พิทักษ์อีกต่อไปแล้ว เธอก็เลยมีสไตล์มากกว่าและเธอก็ไม่แคร์ถ้าจะมีใครสังเกตเห็นเธอ ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างหมายเลขหกและหมายเลขสี่ เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ สำหรับจอห์นและเฮนรี่ ผู้พิทักษ์ของเขาที่จะไม่มีใครสังเกตพวกเขาและพวกเขาจะต้องกลมกลืนกับคนอื่นๆ น่ะค่ะ”
ทีมผู้สร้างต้องการให้สไตล์ของหมายเลขหกไม่เหมือนใคร “เธอขี่มอเตอร์ไซค์ดังนั้นทุกอย่างก็เลยต้องเปื้อนฝุ่น มีรอยขาดและรัดรูปมากๆ เธอสวมเสื้อผ้าที่เซ็กซีและร่วมสมัยมากๆ แต่มันก็มีรายละเอียดบางอย่างที่สับสน จนคุณไม่รู้หรอกค่ะว่าเธอมาจากที่ไหน การออกแบบเสื้อผ้าจะต้องสอดคล้องไปกับการทำงานของผู้ประสานงานคิวบู๊เพื่อทำให้แน่ใจว่าเธอจะสามารถแสดงฉากที่ต้องอาศัยลวดสลิงและการล้มกลิ้งที่จำเป็นต่อบทนี้ได้” เดอโวอธิบาย
เทเรซ่า พาล์มเมอร์สุขสุดๆ กับลุคนี้ของเธอ “พอฉันได้อ่านสคริปต์ ฉันก็เห็นภาพชัดเจนว่าเธอเป็นใครและเธอจะมีหน้าตาเป็นยังไง” พาล์มเมอร์เล่า “โชคดีที่คนอื่นๆ ก็คิดอย่างเดียวกัน เธอเป็นสาวซ่าส์ค่ะ โดยเธอจะสวมกางเกงยีนส์สีดำรัดรูปเอวต่ำ คาดเข็มขัดเส้นโต ที่มีโซ่ห้อยลงมา ฉันอยากให้เธอมีรอยสักที่เห็นได้ชัดและแหวนหัวกะโหลกค่ะ เธอโดดเด่นจริงๆ”
พาล์มเมอร์กล่าวเสริมอีกว่า “ตอนที่ฉันไปถึงพิตส์เบิร์ก ฉันก็เริ่มแต่งตัวเหมือนหมายเลขหกมากขึ้น ทั้งด้วยรองเท้าบู๊ทหนา อายไลเนอร์สีดำ และผมกระเซิง ฉันจะต้องต่อผมด้วย ซึ่งมันก็น่ารำคาญนิดๆ แต่ก็เพอร์เฟ็กต์สำหรับบทนี้ค่ะ”
ประวัตินักแสดง
อเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์ (จอห์น/หมายเลขสี่) เริ่มต้นอาชีพนักแสดงของเขาในปี 2005 ด้วยผลงานเรื่อง Tom Brown’s Schooldays ทางไอทีวี ที่ร่วมแสดงโดยสตีเฟ่น ฟรายและเจ็มม่า เร้ดเกรฟ แต่เขาได้แจ้งเกิดตอนอายุ 15 เมื่อเขามีชัยเหนือคู่แข่งนับร้อยและคว้าบทนำจากภาพยนตร์เรื่อง Alex Rider: Operation Stormbreaker โดยไวน์สทีน ที่ร่วมแสดงโดยมิคกี้ โร้คและอลิเซีย ซิลเวอร์สโตน ได้สำเร็จ หลังจาก Stormbreaker แล้ว เพ็ตติเฟอร์ก็ได้แสดงบทนำประกบเอ็มมา โรเบิร์ตส์ในภาพยนตร์เรื่อง Wild Child เรื่องราวเกี่ยวกับเด็กสาวดื้อรั้นที่ถูกส่งตัวไปโรงเรียนประจำในเกาะอังกฤษ
เมื่อปีที่แล้ว เพ็ตติเฟอร์ได้รับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Beastly เรื่องราวสมัยใหม่ที่มืดหม่นกว่า ซึ่งสร้างจากเค้าโครงของเทพนิยายคลาสสิกเรื่อง Beauty and the Beast โดยบอกเล่าผ่านทางมุมมองของฝ่ายชาย ภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมแสดงโดยวาเนสซา ฮัดเจนส์และนีล แพทริค แฮร์ริส โดยมีแดเนียล บาร์นส์เป็นผู้กำกับให้กับซีบีเอส ฟิล์มส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดที่จะเข้าฉายในเดือนมีนาคม ปี 2011
นอกจากนี้ เพ็ตติเฟอร์ยังได้ร่วมแสดงกับอแมนดา เซย์ฟรีด, จัสติน ทิมเบอร์เลคและคิลเลียน เมอร์ฟีย์ในภาพยนตร์โดยแอนดรูว์ นิคโคลเรื่อง Now ที่มีกำหนดเข้าฉายในเดือนกันยายน ปี 2001
เพ็ตติเฟอร์เกิดและเติบโตในเกาะอังกฤษ ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส
ด้วยผลงานจอแก้วและจอเงินที่หลากหลาย ทิโมธี โอลีเฟนท์ (เฮนรี่) โด่งดังจากบทบาทสำคัญของเขาทั้งในดรามาและคอเมดี้ ปัจจุบัน เขารับบทดารานำของซีรีส์เอฟเอ็กซ์เรื่อง Justified ซึ่งสร้างขึ้นจากเรื่องสั้นโดยเอลมอร์ เลียวนาร์ดเรื่อง Fire in the Hole โอลีเฟนท์รับบทตำรวจศาลเรย์แลน กิฟเวนส์ ผู้รักษากฎหมายยุคปัจจุบันที่มีสไตล์ศตวรรษที่ 19 การออกอากาศครั้งแรกของซีรีส์นี้มีผู้ชมสูงถึง 4.9 ล้านคน ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขสูงสุดของซีรีส์ที่ออกอากาศทางเอฟเอ็กซ์ ความสำเร็จของซีรีส์นี้ทำให้ทางสถานีไฟเขียวให้มีการสร้างซีซันที่สอง ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2011
เมื่อปีที่ผ่านมา เขาได้รับบทนายอำเภอในรีเมกสยองขวัญคลาสสิกของเบรค ไอส์เนอร์เรื่อง The Crazies ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองเล็กๆ ที่ต้องประสบกับเรื่องราวความตายและความเสียสติ หลังจากที่อุบัติเหตุเครื่องบินตกทำให้อาวุธลับทางชีวภาพรั่วไหลเข้าไปในแหล่งเก็บน้ำ นอกจากนี้ เขายังได้นำแสดงในภาพยนตร์อินดี้โดยแกรี เยทส์เรื่อง High Life คอเมดี้เกี่ยวกับขี้ยาไร้สมองสี่คนที่วางแผนปล้นธนาคาร ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินปี 2009 และคว้ารางวัลภาพยนตร์แคนาเดียนยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติคัลการีปี 2009
ในปี 2007 โอลีเฟนท์นำแสดงในภาพยนตร์โดยทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์เรื่อง Hitman และ Live Free: Die Hard
โอลีเฟนท์ได้รับบทนำในภาพยนตร์โดยเดวิด ทูฮีเรื่อง A Perfect Getaway สำหรับรีเลทีฟวิตี้ มีเดีย ประกบสตีฟ ซาห์นและมิลลา โจโววิช นอกจากนี้ เขายังร่วมแสดงกับเอไลชา คัธเบิร์ท และเอมิล เฮิร์สช์ในภาพยนตร์โดยทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์เรื่อง The Girl Next Door โอลีเฟนท์ได้แสดงความสามารถโดดเด่นในการรับบทเคลลี ผู้อำนวยการหนังโป๊ อดีตแฟนหนุ่มของแดเนียล (คัธเบิร์ท) ผู้พยายามเกลี้ยกล่อมให้เธอคืนวงการอีกครั้ง นอกจากนี้ เขาได้แสดงในภาพยนตร์โดยดั๊ก ลีแมนเรื่อง GO ในบทท็อดด์ พ่อค้ายาเสพติด ที่ถูกหักหลังโดยรอนนา (ซาราห์ โพลลีย์) และแคลร์ (เคที โฮล์มส์)
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของโอลีเฟนท์ได้แก่ภาพยนตร์อินดี้โดยกรีนสตรีท ฟิล์มส์เรื่อง Meet Bill ซึ่งเขาแสดงประกบแอรอน เอคฮาร์ทและเจสสิกา อัลบา, โรแมนติกคอเมดี้ Catch and Release ที่แสดงประกบเจนนิเฟอร์ การ์เนอร์และภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายเบสต์เซลเลอร์ของสตีเฟน คิงเรื่อง Dream Catcher นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์วอร์เนอร์ บรอส.เรื่อง RockStar, ภาพยนตร์วอลท์ ดิสนีย์เรื่อง Gone In 60 Seconds, ภาพยนตร์โดยนิวไลน์ ซีเนมาเรื่อง A Man Apart, Scream 2 และ A Life Less Ordinary
ด้านจอแก้ว โอลีเฟนท์ได้รับบทดารารับเชิญในซีรีส์ยอดนิยมหลายเรื่องเช่นซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง My Name is Earl, ซีรีส์เอชบีโอเรื่อง Sex in the City และซีรีส์เอบีซีเรื่อง Samantha Who นอกจากนี้ เขายังได้รับบทประจำในซีรีส์ Office และซีรีส์เอฟเอ็กซ์ที่ได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดเรื่อง Damages ในบทคนรักผู้ลึกลับของเอลเลน (โรส ไบน์) โอลีเฟนท์ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากการแสดงอันทรงพลังของเขาในบทเซธ บุลล็อค ผู้มีความเป็นผู้นำตามธรรมชาติ ผู้เข้มแข็งและทรงเกียรติ ในซีรีส์แปลกใหม่ของเอชบีโอเรื่อง Deadwood ซีรีส์นีได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ดสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยมจากซีซันที่สาม
เทเรซ่า พาล์มเมอร์ (หมายเลขหก) ได้รับการยกย่องจากสกรีน อินเตอร์เนชันแนลให้เป็นหนึ่งในดาราดาวรุ่งของออสเตรเลียในปี 2005 เธอได้รับความสนใจจากผู้ชมทั่วโลกเป็นครั้งแรกจากบทนำของเธอใน 2:37 ภาพยนตร์อินดี้สัญชาติออสเตรเลีย ที่ได้เข้าฉายในสาย Un Certain Regard ในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์และงานเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโต สถาบันภาพยนตร์ออสเตรเลียได้มอบรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมให้กับเธอจากการแสดงอันซับซ้อนของเธอในบทนักเรียนไฮสคูลที่มีความลับดำมืด
ล่าสุด พาล์มเมอร์ได้แสดงประกบนิโคลัส เคจและเจย์ บารูเชลในภาพยนตร์โดยผู้กำกับจอน เทอร์เทิลท็อบเรื่อง The Sorcerer’s Apprentice ให้กับเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ ฟิล์มส์และวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงประกบอดัม แซนด์เลอร์ในคอเมดี้เรื่อง Bedtime Stories ให้กับวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส หลังจากนี้ เธอจะได้แสดงประกบโทเฟอร์ เกรซในภาพยนตร์คอเมดี้ coming of age ยุค 80s โดยรีเลทีฟวิตี้ มีเดียเรื่อง Take Me Home Tonight ซึ่งจะเข้าฉายในเดือนมีนาคม ปี 2011
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ภาพยนตร์โดยผู้กำกับชาวญี่ปุ่น ทาคาชิ ชิมิซุเรื่อง The Grudge 2 ที่เธอแสดงประกบซาราห์ มิเชลล์ เกลลาร์ และเจนนิเฟอร์ บีลส์ การแสดงประกบแดเนียล แรดคลิฟฟ์ในภาพยนตร์ coming of age โดยผู้กำกับร็อด ฮาร์ดี้เรื่อง December Boys ที่ถ่ายทำในออสเตรเลีย และ Restraint ทริลเลอร์จิตวิทยา ที่เธอแสดงประกบทราวิส ฟิมเมลและสตีเฟน โมเยอร์
ปัจจุบัน พาล์มเมอร์ดำรงตำแหน่งโฆษกให้กับบริษัทเครื่องสำอางออสเตรเลีย เจอร์ลิค เธอมาจากอเดเลด ประเทศออสเตรเลีย
ไดแอนน่า อาร์กอน (ซาราห์) เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบท ควินน์ ในซีรีส์ฮิตทางฟ็อกซ์เรื่อง Glee ซึ่งเพิ่งได้รับรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลเอ็มมี หลังจากประสบความสำเร็จในซีซันแรก Glee ก็เพิ่งแพร่ภาพซีซันที่สองไปในเดือนเมษายน ปี 2010 นี่เอง
ล่าสุด เธอได้แสดงประกบเคที่ โฮล์มส์, แอนนา พาควินและจอช ดูฮาเมล ใน The Romantics
ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ Numb3rs, Shark, Close to Home และ CSI: NY นอกจากนี้ เธอยังได้รับบทประจำในซีรีส์ดังเรื่อง Veronica Mars รับบทเด็บบี้ มาร์แชลในซีรีส์ไซไฟฮิตเรื่อง Heroes และแสดงใน It’s a Mall World ซีรีส์ภาพยนตร์ขนาดสั้นที่กำกับโดยไมโล เวนทิมิกเลีย
คัลลัน แม็คออลีฟ (แซม) เป็นนักแสดงพรสวรรค์รุ่นเยาว์ชาวออสเตรเลีย ผู้ได้รับการยกย่องจากบทบาทหลากหลายของเขาในแวดวงละครเวที จอแก้วและจอเงิน เขาเคยร่วมงานกับผู้ยิ่งใหญ่ในวงการบันเทิงมาแล้วมากมายและเขาก็กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงรุ่นเยาว์ที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในฮอลลีวูด
แม็คออลีฟเปิดตัวผลงานภาพยนตร์อเมริกันเรื่องแรกด้วย Flipped ซึ่งเข้าฉายในซัมเมอร์ปี 2010 หลังจากที่ค้นหาไปทั่วโลก ร็อบ ไรเนอร์ก็ได้เลือกแม็คออลีฟให้รับบทนำของเรื่อง Flipped ที่สร้างจากนิยายโดยเวนเดอลิน ฟาน ดราเนน เล่าเรื่องราวของไบรซ์ (แม็คออลีฟ) และจูลี (แมดเดอลีน แคร์รอล) จากสมัยประถมสู่ช่วงมัธยม ผ่านชัยชนะและหายนะ เรื่องสะเทือนใจในครอบครัวและรักแรก ขณะที่พวกเขาค้นพบในสิ่งที่จะช่วยทำให้พวกเขาตระหนักว่าพวกเขาเป็นใครและพวกเขามีความหมายต่อกันและกันเช่นไร ภาพยนตร์วอร์เนอร์ บรอส. เรื่องนี้ร่วมแสดงโดยเอเดน ควินน์, รีเบ็กก้า เดอ มอร์เนย์และจอห์น มาโฮนีย์
ด้านจอแก้ว แม็คออลีฟจะนำแสดงในมินิซีรีส์ออสเตรเลียที่เป็นที่จับตามองเรื่อง Cloudstreet ซึ่งจะออกอากาศในเดือนมีนาคม ปี 2011 มินิซีรีส์เรื่องนี้ที่สร้างขึ้นจากผลงานมาสเตอร์พีซที่กวาดรางวัลมากมายของทิม วินสตัน มีสเกลการสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของออสเตรเลียในรอบทศวรรษ ผลงานก่อนหน้านี้ของเขาได้แก่ซีรีส์ที่ได้รางวัลออสเตรเลียน โลจิ อวอร์ดเรื่อง Packed to the Rafter และ Comedy Inc รวมไปถึง Blue Water High
ส่วนผลงานต่างประเทศเรื่องล่าสุดของแม็คออลีฟคือภาพยนตร์ขนาดสั้นที่ได้รับรางวัลมากมายโดยผู้กำกับฮันนาห์ ฮิลเลียร์ดเรื่อง Franswa ที่บอกเล่าเรื่องจริงของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง (แม็คออลีฟ) ในตอนที่เขาได้เติบโตขึ้นในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ระหว่างที่ใช้เวลาช่วงวันหยุดในฟิจิ ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินปี 2010 ได้รับรางวัลหมีคริสตัลสาขาภาพยนตร์ขนาดสั้นยอดเยี่ยมในประเภทเจเนเรชัน เคพลัส นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับรางวัลไอเอฟ อวอร์ดจากนิตยสารอินไซด์ ฟิล์มในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติฟลิคเกอร์เฟสต์ในออสเตรเลีย และรางวัลภาพยนตร์ขนาดสั้นยอดเยี่ยมในงานเทศกาลภาพยนตร์เมลเบิร์น นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์เอดินเบิร์กห์, แอสเพน, เซนต์โทรปาซ, โร้ด ไอแลนด์และปาล์ม สปริงส์
แม็คออลีฟค้นพบพรสวรรค์ในการแสดงของตัวเองตั้งแต่เด็กๆ พออายุได้ 12 ปี เขาก็ได้เป็นหัวหน้าคอรัสของสก็อตส์ คอลเลจในซิดนีย์และได้รับบทนำใน Oliver ในปี 2008 และ 2009 เขาทำคะแนนสูงสุดในการสอบละครมิวสิคัลของลอนดอน ไทรนิตี้ คอลเลจอันเลื่องชื่อ ด้วยพรสวรรค์ในฐานะนักร้องและนักแสดง รวมไปถึงความสามารถในการเล่นดนตรีได้หลากหลายประเภท แม็คออลีฟเลยได้สร้างสรรค์ตัวละครหลากหลายด้วยการใช้สำเนียงต่างๆ ที่รวมถึงบริติช, ค็อกนีย์, อเมริกันและออสเตรเลียน
เขาแบ่งเวลาระหว่างการอยู่ที่ลอสแองเจลิสและซิดนีย์ระหว่างที่เขายังเรียนอยู่และโฟกัสไปที่งานแสดง เมื่อเร็วๆ นี้ แม็คออลีฟเพิ่งใช้เวลาสามเดือนในดินแดนเอาท์แบ็คของออสเตรเลียและคว้ารางวัลบรอนซ์ ดุ๊ค ออฟ เอดินเบิร์กห์ อวอร์ดมาได้ด้วยการสำเร็จจากคอร์สที่กำหนด ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการคว้ารางวัลซิลเวอร์ ดุ๊ค ออฟ เอดินเบิร์กห์ อวอร์ดในแอฟริกาในเดือนธันวาคมนี้
เควิน ดูแรนด์ (ผู้บังคับบัญชาชาวมอกาดอร์) นักแสดงชาวแคนาเดียนผู้นี้มีแบ็คกราวน์ที่หลากหลาย โดยเขาเริ่มต้นจากการแสดงคอเมดี้และบรอดเวย์ ก่อนที่จะขยับขยายไปยังจอแก้วและจอเงิน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถของเขาในการสะกดสายตาผู้ชมหลากหลายรูปแบบ
ในปี 2009 ดูแรนด์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซทเทิร์น อวอร์ดจากบทมาร์ติน คีมมี ในซีรีส์ฮิตเรื่อง Lost นอกจากนี้ ดูแรนด์ยังเป็นขาประจำซีรีส์ Touching Evil และซีรีส์ฮิตโดยเจมส์ คาเมรอนเรื่อง Dark Angel
เมื่อเร็วๆ นี้ ดูแรนด์เพิ่งได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ทุนหนาเรื่อง Robin Hood จากยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส โดยเขารับบทลิตเติล จอห์นประกบโรบิน ฮู้ดที่รับบทโดยรัสเซล โครว์และมาเรียน ตัวละครของเคท บลังเชตต์
ล่าสุด ดูแรนด์เพิ่งเสร็จสิ้นการถ่ายทำภาพยนตร์โดยชอว์น เลวีเรื่อง Real Steel ให้กับดรีมเวิร์คส์ นอกจากนี้ เขายังรับบทเทวทูตกาเบรียลประกบไมเคิล ที่รับบทโดยพอล เบตตานีย์ในภาพยนตร์โดยสกรีน เจมส์เรื่อง Legion และบทเฟร็ด ดุ๊คส์ หรือเดอะ บล็อบ ในภาพยนตร์ต้นกำเนิดของแฟรนไชส์ X-Men ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง X-Men Origins: Wolverine ประกบฮิวจ์ แจ็คแมนและลีฟ ชไรเบอร์
ก่อนหน้าที่เขาจะเข้าสู่วงการภาพยนตร์ ดูแรนด์ได้รับการโหวตให้เป็นหนึ่งในนักแสดงตลกหน้าใหม่ที่ตลกที่สุดของแคนาดา นอกเหนือจากนั้น เขายังเป็นคนแรกที่ได้รับบทอินเดีย โจใน The Adventures of Tom Sawyer บนเวทีบรอดเวย์อีก้ดวย
ดูแรนด์เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงประกบรัสเซล โครว์และคริสเตียน เบลในภาพยนตร์โดยเจมส์ แมนโกลด์เรื่อง 3:10 to Yuma, ประกบเบน แอฟเฟล็คและเจเรมี พิเวนในภาพยนตร์โดยโจ คาร์นาฮันเรื่อง Smokin' Aces และประกบจอห์น ทราโวลตา, ทิม อัลเลนและมาร์ติน ลอว์เรนซ์ในภาพยนตร์โดยวอลท์ เบ็คเกอร์เรื่อง Wild Hogs
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของดูแรนด์ได้แก่ The Butterfly Effect ที่แสดงประกบแอชตัน คุทเชอร์, ภาพยนตร์โดยเจย์ โร้คเรื่อง Mystery Alaska ที่แสดงประกบรัสเซล โครว์, ภาพยนตร์โดยโคลัมเบีย พิคเจอร์สเรื่อง Winged Creatures ประกบฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์และดาโกตา แฟนนิงและภาพยนตร์โดยเวอร์ติโก เอนเตอร์เทนเมนต์เรื่อง The Ech
ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส
เกี่ยวกับทีมผู้สร้าง
ก่อนหน้าการกำกับ I Am number Four ในปี 2008 ดี.เจ. คารูโซ (ผู้กำกับ) เคยฝาากผลงานมาแล้วในแอ็คชั่นทริลเลอร์เรื่อง Eagle Eye ที่นำแสดงโดยไชอา ลาบัฟฟ์และมิเชลล์ โมนาแกน ภาพยนตร์เรื่องนั้นเปิดตัวที่อันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศและทำรายได้เปิดตัวสูงสุดเป็นอันดับสี่ในประวัติศาสตร์เดือนกันยายน ก่อนที่จะทำรายได้ทั่วโลกกว่า 200 ล้านเหรียญ
ก่อนหน้านั้น เขาได้กำกับทริลเลอร์ลุ้นระทึกเรื่อง Disturbia ซึ่งครองอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศติดต่อกันสามสัปดาห์ ในปี 2005 คารูโซได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Two for the Money ซึ่งจับเอานักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ อัล ปาชิโนและแมทธิว แม็คคอนนาเฮย์มาแสดงร่วมกันในเรื่องราวเกี่ยวกับการเดิมพันความเสี่ยงสูง ก่อนหน้านั้น เขาเคยกำกับภาพยนตร์ฮิตปี 2004 เรื่อง Taking Lives ซึ่งนำแสดงโดยแองเจลินา โจลีและอีธาน ฮอว์ค ในทริลเลอร์หลอนประสาทเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่ตามไล่ล่าตัวฆาตรกรต่อเนื่อง
แม้ว่าคารูโซจะสร้างชื่อเสียงในฐานะผู้กำกับจากการกำกับซีรีส์เรื่อง The Shield, ซีรีส์โดยสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง High Incident และซีรีส์โดยเจมส์ คาเมรอนเรื่อง Dark Angel แต่เขากลายเป็นผู้กำกับที่น่าจับตามองก็ด้วยผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา The Salton Sea ทริลเลอร์นีโอนัวร์ปี 2002 ที่นำแสดงโดยวัล คิลเมอร์ เรื่องนี้ได้รับการยกย่องจากการแสดงที่เข้มข้นและเทคนิคด้านวิชวลของมัน
ในปี 1998 เขาได้ร่วมงานกับมือเขียนบทผู้คร่ำหวอดในฮอลลีวูด แฟรงค์ ดาราบอนท์ใน Black Cat Run ซึ่งกลายเป็นภาพยนตร์ที่เปิดตัวด้วยเรตติ้งสูงสุดในปีนั้นของเอชบีโอ นอกจากนี้ คารูโซยังเคยกำกับมิวสิค วิดีโอให้กับวงดนตรีชื่อดังอย่างดีส เวิลด์ แฟร์และแอร์บอร์น ท็อกซิก อีเวนต์ อีกทั้งยังได้รับหน้าที่เป็นกรรมการรับเชิญในซีรีส์เรียลลิตี้ทางฟ็อกซ์เรื่อง On the Lot อีกด้วย
ดี.เจ. คารูโซเกิดในนอร์วอล์ค, คอนเน็กติคัท และสำเร็จการศึกษาสาขาผลิตภาพยนตร์จากมหาวิทยาลัยเป็ปเปอร์ดีน ที่ซึ่งเขาเล่นเทนนิสด้วย เขาเริ่มต้นทำงานในแวดวงภาพยนตร์ในตำแหน่งผู้ช่วยงานสร้าง ก่อนที่จะได้รับการชี้แนะจากผู้กำกับจอห์น แบดแฮม
อัลเฟร็ด กัฟและไมลส์ มิลลาร์ (บทภาพยนตร์โดย) เป็นทีมมือเขียนบท/ผู้อำนวยการสร้างมากฝีมือที่มีผลงานประสบความสำเร็จมากมายทั้งที่เป็นจอแก้วและจอเงิน ปัจจุบัน พวกเขากำลังอยู่ระหว่างการเขียนบทและพัฒนารีเมกซีรีส์คลาสสิกยุค 70s เรื่อง Charlie's Angels ให้กับเอบีซี ดรามาหนึ่งชั่วโมงเรื่องนี้จะมีเรื่องราวเกิดขึ้นในไมอามี ในฐานะผู้สร้างและผู้ควบคุมงานสร้างของซีรีส์แอ็คชั่นผจญภัยฮิตเรื่อง Smallville กัฟและมิลลาร์มีบทบาทสำคัญในการทำให้ซีรีส์นี้กลายเป็นซีรีส์อันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสถานีวอร์เนอร์ บรอส. ซีรีส์นี้ ที่ปัจจุบันกำลังถ่ายทำซีซันสิบและซีซันสุดท้าย เป็นซีรีส์ที่สร้างขึ้นจากหนังสือการ์ตูนที่ออกอากาศนานที่สุดตลอดกาล
ด้านภาพยนตร์ กัฟและมิลลาร์เป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์ฮิตหลายเรื่องเช่น Spiderman 2 ที่นำแสดงโดยโทบี้ แม็กไกวร์, Lethal Weapon 4 ที่นำแสดงโดยเมล กิ๊บสันและแดนนี โกลเวอร์และ The Mummy: Tomb of the Dragon Emperor สำหรับผู้กำกับร็อบ โคเฮน พวกเขาเขียนบทภาพยนตร์ให้กับภาพยนตร์แอ็คชั่นคอเมดี้ฮิตเรื่อง Shanghai Noon ที่นำแสดงโดยเฉินหลง, โอเวน วิลสันและลูซี หลิว รวมไปถึงซีเควล Shanghai Knights ที่กำกับโดยเดวิด ด็อบคิน
กัฟและมิลลาร์ได้พบกันระหว่างเรียนหลักสูตรปีเตอร์ สตาร์คที่มหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย หลังจากจบหลักสูตร พวกเขาก็ได้ร่วมกันสร้างบริษัทโปรดักชันในชื่อมิลลาร์/กัฟ อิงค์ขึ้นมา บริษัทแห่งนี้มีสัญญาเสนองานพิเศษให้กับวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์และได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ฮิตเรื่อง Hannah Montana: The Movie ที่สร้างขึ้นจากซีรีส์ฮิตทางดิสนีย์ แชนแนล ที่นำแสดงโดยไมลีย์ ไซรัส ซูเปอร์สตาร์วัยทีน ปัจจุบัน ทั้งคู่อยู่ระหว่างการเขียนบทและควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Upgrade ให้กับพาราเมาท์ โดยมีไมเคิล เบย์รับหน้าที่อำนวยการสร้างและมิวสิคัลเรื่อง Monster High ให้กับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส
มาร์ตี้ น็อกสัน (บทภาพยนตร์โดย) เป็นมือเขียนบท/ผู้อำนวยการสร้างมากความสามารถ ผู้ทำงานได้อย่างพลิ้วไหวในผลงานแนวต่างๆ และสื่อต่างๆ น็อกสันได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะคนเขียนบทสร้างสรรค์ ผู้ชำนาญภาพยนตร์ที่ให้ความสำคัญกับตัวละคร ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมในวงกว้าง
ผลงานภาพยนตร์เรื่องถัดไปของเธอคือการนำภาพยนตร์สยองขวัญคัลท์คลาสสิกเรื่อง Fright Night กลับมาทำใหม่ ภาพยนตร์จากดรีมเวิร์คส์ สตูดิโอเรื่องนี้ที่จะเข้าฉายในเดือนสิงหาคม ปี 2011 นำแสดงโดยแอนตัน เยลชินและโคลิน ฟาร์เรล นอกเหนือจากนั้น ปัจจุบัน น็อกสันกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาเรื่อง The Defenders ร่วมกับผู้กำกับจอน แฮมเบิร์ก ให้กับเคิร์ทซ์แมน ออร์ซี เปเปอร์ โปรดักส์และมาซี โอกา
น็อกสันได้เขียนบทและควบคุมงานสร้างซีรีส์ดังหลายเรื่องเช่น Buffy the Vampire Slayer, Grey’s Anatomy, Private Practice, Brothers & Sisters, Point Pleasant และ Still Life นอกจากนั้น เธอยังทำหน้าที่ที่ปรึกษาฝ่ายอำนวยการสร้างให้กับซีรีส์ Mad men, Prison Break และ Angel อีกด้วย
ภายใต้แบนเนอร์เกรดี้ ทวินส์ โปรดักชันส์ ที่เธอบริหารร่วมงานเพื่อนเก่าของเธอ ดอว์น โอล์มสเตด น็อกสันก็แสดงให้เห็นว่าเธอมีความสามารถรอบด้านในการทำให้กิจการของบริษัทรุ่งเรืองขึ้น ปัจจุบัน เธอกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำโปรเจ็กต์ให้กับไลฟ์ไทม์, เอฟเอ็กซ์, ซีดับบลิวและเอ็นบีซี น็อกสันสำเร็จการศึกษาจากยูซี ซานตาครูซ ปัจจุบัน เธอใช้ชีวิตอยู่ใสนฮอลลีวูดกับลูกๆ สองคน
ตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมา ไมเคิล เบย์ (ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นหนึ่งในผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างที่กล้าบ้าบิ่นที่สุดและทำรายได้สูงสุดของโลก ภาพยนตร์ของเขากวาดรายได้ไปกว่าสี่พันล้านเหรียญทั่วโลก
นับตั้งแต่แจ้งเกิดจากผลงานเรื่อง Bad Boys ในปี 1995 เบย์ก็ได้กำกับภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จไปทั่วโลก ซึ่งช่วยสร้างคำนิยามใหม่ให้กับแนวแอ็คชั่นอย่างต่อเนื่องเช่น The Rock, Armageddon, Pearl Harbor, Bad Boys 2, The Island และ Transformers สองภาค ภาคสามของแฟรนไชส์นี้ Transformers: Dark of the Moon จะเข้าฉายในวันที่ 4 กรกฎาคม ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวเป็นภาพยนตร์ไลฟ์แอ็คชั่นเรื่องแรกของเบย์ที่ถ่ายทำในระบบ 3 มิติทั้งหมด เบย์ ฟิล์มส์เป็นหนึ่งในบริษัทโปรดักชันที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่สุดในฮอลลีวูด และบริษัทแห่งนี้ก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ผ่านทางบริษัทโปรดักชันแพลตินัม ดูนส์ของเขา เบย์ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Texas Chainsaw Massacre, A Nightmare on Elm Street และ The Amityville Horror ที่นำกลับมาทำใหม่ รวมไปถึง The Unborn ด้วย ภายใต้แพลตินัม ดูนส์ เบย์จะจับมือกับฮัสโบรอีกครั้งเพื่อผลิตภาพยนตร์ผจญภัยทั่วโลก ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเกมกระดาน Ouija โดยการถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้นปลายปีนี้ นอกจากนี้ แพลตินัม ดูนส์ยังอยู่ระหว่างเตรียมพร้อมสำหรับการเผยโฉมครั้งใหม่ของแฟรนไชส์ Teenage Mutant Ninja Turtles อีกด้วย
นอกจากนี้ เบย์ยังเป็นเจ้าของ ดิจิตอล โดเมน หนึ่งในบริษัทสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ระดับแนวหน้า เบย์สำเร็จการศึกษาจากเวสเลยัน และอาร์ต เซ็นเตอร์ คอลเลจ ออฟ ดีไซน์ เขาเริ่มต้นจากการเป็นผู้กำกับโฆษณาและมิวสิค วิดีโอชื่อดัง เขากวาดแทบทุกรางวัลในแวดวงโฆษณา ซึ่งรวมถึงรางวัลสิงโตทองคำจากเมืองคานส์ รางวัลกรังด์ปรีซ์คลิโอและรางวัลผู้กำกับโฆษณายอดเยี่ยมแห่งปีจากสมาพันธ์ผู้กำกับแห่งอเมริกา แคมเปญ “Got Milk?” ของเขาเป็นหนึ่งในผลงานที่ถูกจัดแสดงอย่างถาวรในพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ในนิวยอร์ก
เดวิด วัลเดส (ผู้ควบคุมงานสร้าง) หนึ่งในผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่งานยุ่งที่สุดและได้รับการยกย่องสูงสุด ประสบความสำเร็จอย่างดีจากการร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังหลายคน อาทิเช่นคลินท์ อีสต์วู้ด, ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา, แฟรงค์ ดาราบอนท์และเควิน คอสท์เนอร์ และได้ช่วยให้นักแสดงยอดนิยมหลายคนได้แจ้งเกิด
โปรเจ็กต์ล่าสุดของวัลเดสในฐานะผู้อำนวยการสร้างคือแอ็คชั่นผจญภัยเรื่อง The Book of Eli ที่นำแสดงโดยเดนเซล วอชิงตัน และแกรี โอลด์แมนและดรามาชื่อดังเรื่อง The Assassination of Jesse James by the Coward Robert Ford ที่นำแสดงโดยแบรด พิตต์และเคซีย์ แอฟเฟล็ค ให้กับผู้กำกับแอนดรูว์ โดมินิค นอกจากนี้ เขายังรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างให้กับ Babylon A.D. ที่นำแสดงโดยวิน ดีเซลอีกด้วย
ในปี 2000 เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก The Green Mile ที่รวมแล้วได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ทั้งหมดสี่สาขา ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ในฐานะผู้อำนวยการสร้างของเขาได้แก่ภาพยนตร์เวสเทิร์น Open Range ที่กำกับโดยเควิน คอสท์เนอร์และนำแสดงโดยโรเบิร์ต ดูวัลล์, แอนเน็ตต์ เบนนิงและไมเคิล แกมบอน, เวอร์ชันใหม่ของภาพยนตร์เรื่อง The Time Machine ที่สร้างขึ้นจากนิยายคลาสสิกของเอช.จี. เวลส์, Turbulence ที่นำแสดงโดยเรย์ ลิออตต้าและลอเรน ฮอลลี, A Perfect World ที่นำแสดงโดยเควิน คอสท์เนอร์และคลินท์ อีสต์วู้ดและ The Stars Fell on Henrietta ที่นำแสดงโดยโรเบิร์ต ดูวัลล์และเอเดน ควินน์ เขาประสบความสำเร็จในการร่วมมือกับคลินท์ อีสต์วู้ดและชาร์ลีย์ ชีนในภาพยนตร์เรื่อง The Rookie และกับดัดลีย์ มัวร์และเคิร์ค คาเมรอนใน Like Father, Like Son เขารับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างใน Pink Cadillac และในภาคสุดท้ายของภาพยนตร์ Dirty Harry ที่ได้รับความนิยมสูง The Dead Pool ซึ่งเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของจิม แคร์รีย์และเลียม นีสัน รวมแล้ว วัลเดสได้ร่วมงานกับคลินท์ อีสต์วู้ดมาแล้วในภาพยนตร์ 17 เรื่อง
วัลเดสรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างเวสเทิร์นแปลกใหม่ที่โด่งดังของอีสต์วู้ดเรื่อง Unforgiven ซึ่งได้รับสี่รางวัลอคาเดมี อวอร์ด ซึ่งรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ฮิตที่ได้รับการเสนอชื่อชิงหลายรางวัลออสการ์ของวูล์ฟกัง ปีเตอร์สันเรื่อง In the Line of Fire นอกจากนี้ เขายังรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างในภาพยนตร์อัตชีวประวัติชื่อดังของอีสต์วู้ดเรื่อง Bird ที่นำแสดงโดยฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์และ White Hunter, Black Heart และได้ร่วมงานในภาพยนตร์สี่เรื่องกับผู้กำกับฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา โดยล่าสุด เขารับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างให้กับดรามายุคสงครามเวียดนามเรื่อง Gardens of Stone
หนึ่งในผลงานจอแก้วของเขาคือการรับหน้าที่ผู้กำกับซีรีส์แปลกใหม่เรื่อง Moonlighting วัลเดสได้ทำงานในทุกฟอร์แมตบนจอแก้ว ทั้งภาพยนตร์ประจำสัปดาห์ ซีรีส์ โฆษณาและมิวสิค วิดีโอ ก่อนที่จะพบหนทางของตัวเองในฐานะผู้อำนวยการสร้าง
วัลเดสเป็นชาวแคลิฟอร์เนีย เขาสำเร็จการศึกษาเกียรตินิยมอันดับสองสาขาการละครจากยูซีแอลเอ และเริ่มต้นทำงานในแวดวงภาพยนตร์ในหน้าที่ผู้ช่วยผู้กำกับของผู้กำกับชื่อดังเช่นมาร์ติน สกอร์เซซี, วิม เวนเดอร์ส, คลินท์ อีสต์วู้ดและฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ผลงานภาพยนตร์ที่เขาร่วมทำงานด้วยก็เช่น Raging Bull, Oh God! Book II, Any Which Way You Can, Hammett, The Outsiders, Rumble Fish, Sudden Impact และ Tightrope เขาได้ขยับขยายสู่สายงานอำนวยการสร้างด้วยการทำหน้าที่ผู้ช่วยอำนวยการสร้างในภาพยนตร์โดยอีสต์วู้ดเรื่อง Pale Rider ในปี 1984
วัลเดสเป็นสมาชิกสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ สมาพันธ์ผู้กำกับแห่งอเมริกา สมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกาและสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน ปัจจุบัน เขาเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการบริหารลาติโน เธียเตอร์ คัมปะนี (แอลทีซี) และเป็นอาจารย์ระดับปริญญาโทของหลักสูตรอำนวยการสร้างยูเอสซี ปีเตอร์ สตาร์คอีกด้วย
คริส เบนเดอร์และเจซี สพิงค์ (ผู้ควบคุมงานสร้าง) ได้ก่อตั้งเบนเดอร์สพิงค์ขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ปี 1998 ระหว่างช่วงโพสต์โปรดักชันของ American Pie โดยมีมือเขียนบท 14 คนเซ็นสัญญากับบริษัทจัดการของพวกเขา บริษัทโปรดักชันของพวกเขามีสัญญาพิเศษกับนิวไลน์ ซีเนมานานกว่าสิบปี
พวกเขาได้อำนวยการสร้างหรือพัฒนาโปรเจ็กต์ที่ได้เติบโตเป็นแฟรนไชส์ห้าเรื่องในหลากหลายแนวด้วยกัน ได้แก่ Final Destination, American Pie, The Ring, Cats and Dogs และ The Butterfly Effect ภาพยนตร์แปดเรื่องของพวกเขาเปิดตัวที่อันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศและเบนเดอร์และสพิงค์ก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำจาก A History of Violence
เบนเดอร์สพิงค์ยังคงเดินหน้าสร้างภาพยนตร์หลากหลายแนวตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา รวมถึง Just Friends, Monster-in-Law, Red Eye, Leap Year และ The Hangover เมื่อเร็วๆ นี้ พวกเขาเพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Arthur ที่นำแสดงโดยรัสเซล แบรนด์และเฮเลน เมอร์เรน และจะจัดจำหน่ายโดยวอร์เนอร์ บราเธอร์สในเดือนเมษายน ปี 2011 และพวกเขาก็รับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในภาพนยตร์เรื่อง Hangover II ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำอีกด้วย
กุยเลอร์โม นาวาร์โร (ผู้กำกับภาพ) เคยร่วมงานกับผู้กำกับกุยเลอร์โม เดล โทโรมาแล้วหลายครั้ง โดยนาวาร์โรเป็นผู้ถ่ายทำภาพยนตร์ทุกเรื่องของเดล โทโรนับตั้งแต่ Cronos ได้แก่เรื่อง The Devil's Backbone, Hellboy II: The Golden Army, Hellboy และ Pan's Labyrinth ซึ่งเขาได้รับรางวัลออสการ์สาขากำกับภาพยอดเยี่ยม และยกเว้นเรื่อง Mimic และ Blade II
นาวาร์โรได้ใช้สีสันจัดจ้าน ซึ่งเข้ากันได้ดีกับโลกที่สรรค์สร้างขึ้นโดยเดล โทโรใน Cronos ซึ่งได้รับรางวัลคริติกส์ อวอร์ดจากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 1993 และเป็นตัวแทนของประเทศเม็กซิโกในการชิงชัยบนเวทีออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
นอกเหนือจากการร่วมงานกับเดล โทโรแล้ว นาวาร์โรก็ได้ทำงานเป็นผู้กำกับภาพในภาพยนตร์หลายเรื่องกับโรเบิร์ต โรดริเกซ เพื่อนร่วมชาติอีกคนหนึ่งของเขา ซึ่งได้แก่ Desperado, From Dusk Till Dawn และ Spy Kids ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ ภาพยนตร์โดยเควนติน ทารันติโนเรื่อง Jackie Brown, ภาพยนตร์โดยเรนนี ฮาร์ลินเรื่อง The Long Kiss Goodbye, ภาพยนตร์โดยร็อบ มิงคอฟเรื่อง Stuart Little, ภาพยนตร์โดยมาร์ค ดิปเปเรื่อง Spawn, ภาพยนตร์โดยจอน แฟฟโรเรื่อง Zathura และภาพยนตร์โดยชอว์น เลวีเรื่อง Night at the Museum นาวาร์โร ผู้เริ่มต้นจากการถ่ายทำสารคดีในเซาธ์อเมริกา เป็นผู้ถ่ายทำรายการพิเศษที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีของเนชันแนล จีโอกราฟฟิคในชื่อ Lost Kingdoms of the Maya
ทอม เซาธ์เวล (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ได้กลับมาร่วมงานกับดี.เจ. คารูโซ หลังจากเคยรับหน้าที่ผู้ออกแบบงานสร้างใน Disturbia, Two for the Money, Taking Lives, The Salton Sea, ภาพยนตร์เอชบีโอเรื่อง Black Cat Run และในฐานะนักวาดภาพสตอรีบอร์ดใน Nick of Time และ Drop Zone มาแล้ว
นอกเหนือจากการออกแบบแล้ว เซาธ์เวลยังได้ทำงานหลายตำแหน่งในแผนกศิลป์ของภาพยนตร์ ทั้งผู้กำกับศิลป์ นักวาดภาพคอนเซ็ปต์ นักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟฟิค ภาพยนตร์หกเรื่องของเขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขากำกับศิลป์ โดยภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่เรื่องแรกที่เขาได้ทำคือ The Godfather: Part II ในฐานะนักตกแต่งฉาก เขาได้ทำงานตำแหน่งผู้กำกับศิลป์ใน Mighty Joe Young และรับหน้าที่ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ใน Executive Decision
ผลงานของเขาในฐานะนักวาดภาพคอนเซ็ปต์ได้แก่ X-Men, Man on the Moon, Dr. Dolittle (1998), U.S. Marshalls, Twilight (1998), The Devil's Advocate, Nick of Time, Mission: Impossible, The Sandlot, Demolition Man, Hearts and Souls, Under Siege, Flatliners, Gremlins 2 และ Major League
ในฐานะนักวาดภาพประกอบและ/หรือนักออกแบบกราฟฟิค เซาธ์เวลได้ทำงานในภาพยนตร์เรื่อง Minority Report และผลงานอื่นๆ ของเขาในตำแหน่งพวกนี้ได้แก่ Eraser, Basic Instinct, City Slickers, Arachnophobia, Lethal Weapon 2, The Color Purple, Romancing the Stone, Annie (1982) และ Blade Runner
เซาธ์เวลสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาออกแบบสื่อสารจากสถาบันแพรทท์ในนิวยอร์กและได้ศึกษาที่นิว โรเชล อคาเดมีในนิวยอร์ก เขาเป็นสมาชิกสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์มาตั้งแต่ปี 1980
มารี-ซิลวี เดอโว (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) เป็นผู้รังสรรค์เครื่องแต่งกายในภาพยนตร์อีกสี่เรื่องที่กำกับโดยดี.เจ. คารูโซได้แก่ Eagle Eye, Disturbia, Two for the Money และ Taking Lives ผลงานของเธอยังปรากฏอยู่ในคอเมดี้โดยรายา กอสเนลเรื่อง Yours, Mine and Ours ที่นำแสดงโดยเดนนิส เควดและเรเน รุสโซและในภาพยนตร์โดยไซมอน เวสต์เรื่อง When a Stranger Calls
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ The Perfect Man ที่นำแสดงโดยฮิลลารี ดัฟฟ์และฮีธเธอร์ ล็อคเลียร์, ภาพยนตร์โดยไมค์ ฟิกกิสเรื่อง Cold Creek Manor, Levity, ภาพยนตร์โดยฟิล อัลเดน โรบินสันเรื่อง The Sum of All Fears, Serendipity, Angel Eyes, Urban Legend: Final Cut, ภาพยนตร์โดยร็อบ โคเฮนเรื่อง The Skulls, ภาพยนตร์โดยไมค์ นีเวลล์เรื่อง Pushing Tin, The Mighty, Mimic, Fly Away Home และคอเมดี้โดยอดัม แซนด์เลอร์เรื่อง Billy Madison
ด้านจอแก้ว เดอโวได้จัดหาเครื่องแต่งกายให้กับตอนไพล็อตของซีรีส์ฮิตเรื่อง Desperate Housewives, Mr.Headmistress, F/X: The Series และ Matrix และสำหรับภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง Harrison Bergeron และ Thicker Than Blood: The Larry McLinden Story
ปีเตอร์ เชสนีย์ (ผู้ประสานงานฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์) ได้ทำงานในตำแหน่งซูเปอร์ไวเซอร์และ/หรือผู้ประสานงานฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ในภาพยนตร์หลายเรื่อง โดยผลงานภาพยนตร์ของเขาได้แก่ Dark Water, The Ring 2, The Ladykillers, Looney Tunes: Back in Action, Cats and Dogs, The Man Who Wasn't There, O Brother, Where Art Thou, Inspector Gadget, The Truman Show, The Big Lebowski, Men In Black, Tremors II: Aftershocks, Vampire in Brooklyn, Waterworld, The Hudsucker Proxy, Forever Young, Pet Sematary II, Honey I Blew Up the Kid, The People Under the Stairs, Stephen King's Graveyard Shift, Young Guns II, Child's Play, The First Power, Pacific Heights, Miller's Crossing, Pet Sematary, K-9, A Nightmare on Elm Street, Honey, I Shrunk the Kids, Bill and Ted's Excellent Adventure, The Serpent and the Rainbow, Friday the 13th, VII: The New Blood, Tapeheads, Lady in White, A Nightmare on Elm Street III, Dream Warriors, Dudes, House II: The Second Story, Raising Arizona, Amazon Women on the Moon, Quiet Cool, Vamp, Wired to Kill, Where Are the Children และ The Osterman Weekend นอกจากนี้ เขายังรับหน้าที่ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ใน Conan: The Adventurer อีกด้วย
โฮเวิร์ด เบอร์เกอร์และเกรกอรี นิโคเทโร (สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ เมคอัพ) ก่อตั้งเคเอ็นบี อีเอฟเอ็กซ์ กรุ๊ป, อิงค์. ขึ้นในปี 1988 และตลอด 23 ปีที่ผ่านมา พวกเขาก็กลายเป็นหนึ่งในสตูดิโอสเปเชียล เมคอัพ เอฟเฟ็กต์ที่โด่งดังที่สุดในฮอลลีวูด ด้วยความชำนาญในการทำชิ้นส่วนเทียม อนิเมโทรนิคส์ สัตว์จำลอง เบอร์เกอร์และนิโคเทโรจึงมีผลงานภาพยนตร์และโทรทัศน์กว่า 700 เรื่อง ซึ่งรวมถึง Inglorious Basterds, The Transformer Trilogy, Kill Bill 1 & 2, Predators, Splice, The Mist, The Book of Eli, Drag Me to Hell, The Last Exorcism, Hostel 1 & 2, The Green Mile และ Piranha 3D
เมื่อปีที่แล้ว พวกเขาเพิ่งเสร็จจากการทำงานในภาคที่สามของซีรีส์ Narnia ในชื่อ Voyage of the Dawn Treader และเป็นผู้ดูแลการสร้างบรรดาผีดิบในซีรีส์ดรามาสยองขวัญโดยเอเอ็มซีเรื่อง The Walking Dead ที่นิโคเทโรทำหน้าที่ผู้กำกับยูนิทที่สองและที่ปรึกษางานสร้างด้วย พวกเขาเพิ่งเสร็จสิ้นจากการทำงานใน Spy Kids, Dolphin Tale และ Fright Night ให้กับดรีมเวิร์คส์ สตูดิโอส์
ในอดีต ภาพยนตร์อย่างเรื่อง Sin City ได้รับการยกย่องจากชิ้นส่วนเทียมที่ถูกติดให้กับมิคกี้ โร้คและเบเนซิโอ เดล โทโรและทำให้พวกเขาได้รับรางวัลเมคอัพยอดเยี่ยมแห่งปีจากเทศกาลภาพยนตร์ฮอลลีวูดปี 205 เคเอ็นบีได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดสาขาวิชวล เอฟเฟ็กต์ยอดเยี่ยมปี 2001 จากมินิซีรีส์เรื่อง Dune และได้รับการเสนอชื่อและรางวัลหลายครั้งจากสถาบันไซไฟ แฟนตาซีและฮอร์เรอร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา งานของพวกเขาใน The Cell และ The Time Machine ทำให้พวกเขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาเมคอัพยอดเยี่ยมในขณะที่บรรดาตัวละครมหัศจรรย์ในเรื่อง The Chronicles of Narnia: The Lion, The Witch and The Wardrobe ทำให้พวกเขาได้รับรางวัลบริติช อคาเดมี อวอร์ดและอคาเดมี อวอร์ดสาขาเมคอัพยอดเยี่ยมในปี 2006 ในปีนี้ พวกเขาได้รับรางวัลเอ็มมีเป็นครั้งที่สองจากงานชิ้นส่วนเทียมสมจริงที่ใช้ในสงครามในซีรีส์โดยสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง The Pacific ทางเอชบีโอ
เบอร์เกอร์และนิโคเทโรได้พบกันระหว่างถ่ายทำ Day of the Dead ในพิตส์เบิร์ก, เพนซิลวาเนียในปี 1984 และกลายเป็นเพื่อนรักกันในเวลาอันรวดเร็ว นิโคเทโรย้ายไปลอสแองเจลิสและได้ร่วมงานกับเบอร์เกอร์ในสตูดิโอเมคอัพ เอฟเฟ็กต์หลายแห่งจนกระทั่งทั้งคู่ตัดสินใจเปิดสตูดิโอของตัวเอง