กรุงเทพฯ--28 ม.ค.--สหมงคลฟิล์ม
“ถ้าคุณเคยรักใครแบบหมดใจ หรือเคยหมดรักใครโดยไม่รู้ตัว คุณจะอินกับหนังเรื่องนี้ได้ง่ายๆ และทุกอย่างที่ฉันแสดงใน BLUE VALENTINE ฉันขอมอบให้แด่ ฮีธ เลดเจอร์ ผู้ชายที่ฉันรักมากที่สุดในชีวิต” มิเชล วิลเลียมส์ กล่าว เปิดใจ กับสื่อมวลชนหลังจากที่รู้ตัวว่าเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำฝ่ายหญิงปีล่าสุด จากภาพยนตร์เรื่อง Blue Valentine โดยยกแรงบันดาลใจในการแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ให้แก่ อดีตสามีผู้ล่วงลับ
BLUE VALENTINE คือหนังรักแนวโรแมนติกลิสซึ่ม ที่บาดลึกอารมณ์คนมีรัก เรื่องราวความรักของคู่รักคู่หนึ่ง ที่ให้ผู้ชมได้รู้ว่ารักเริ่มต้นอย่างไร และทำอย่างไรจึงจะรักษาความรักครั้งนี้เอาไว้ได้ หนังได้สองนักแสดงที่ว่ากันว่าฝีมือดีที่สุดในรุ่นอย่าง ไรอัน กอสลิ่ง และ มิเชล วิลเลี่ยมส์ มารับบทนำ ซึ่งทั้งคู่ต่างถูกเสนอชื่อเข้าชิงลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงนำชายและหญิงของปีนี้ ตัวหนังแรงจนได้เรทต่ำกว่า 17 ห้ามดู! ซึ่งคือระบบเรทติ้งที่สูงที่สุดในอเมริกา (เรท NC-17) และเป็นเหตุให้ทีมงาน BLUE VALENTINE ยื่นประท้วงฟ้องกรรมการจัดเรทติ้งที่ให้เรท Nc-17 จนล่าสุดได้รับการลดหย่อนจนเหลือเรท R เนื่องจากฉากเลิฟซีนสุดร้อนแรงของคู่พระนาง ที่ผู้กำกับมองว่าเป็นศิลปะมากกว่าอนาจาร
“ผมเตรียมทำหนังเรื่องนี้มานานกว่า 11 ปี จำได้ว่าผมเริ่มเขียนบทภาพยนตร์ร่างแรกในช่วงหน้าร้อนปี 1998 และนึกว่าคงสามารถถ่ายทำได้ในฤดูใบไม้ร่วง เห็นได้ชัดว่าผมคิดผิด (หัวเราะ) ผมพบกับ มิเชล วิลเลียมส์ ในปี 2003 จากนั้นผมก็ได้รู้จักกับ ไรอัน ในปี 2005 พวกเราทั้งสามคนพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้มันกลายเป็นหนัง แต่ก็ต้องพบกับไฟแดงทุกครั้ง ผมเคยรู้สึกเหมือนกันว่าหนังเรื่องนี้อาจจะถูกสาป แต่โชคดีที่พวกเราเจอกับ เจมี่ เพทริคอฟ และ ลีเน็ตต์ โฮเวลล์ สองผู้อำนวยการสร้าง พวกเขามีความตั้งใจที่จะสร้างหนังเรื่องนี้ให้ได้ พวกเราทั้งหมดร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน สุดท้าย BLUE VALENTINE ใช้เวลานานถึง 11 ปี กว่าจะได้ฉายบนจอภาพยนตร์ “ ผู้กำกับ เดเร็ค เซียนฟรานซ์ กล่าว
10 กุมภาพันธ์นี้ มาเฮิร์ทรับวาเลนไทน์ เฉพาะที่ เอสเอฟเวิลด์ซีเนม่า
ลิโด มัลติเพล็กซ์ และ เฮาส์ อาร์ซีเอ เท่านั้น
บทสัมภาษณ์ มิเชล วิลเลี่ยมส์ จาก Blue Valentine
มิเชล วิลเลี่ยมส์ คือนักแสดงหญิงที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งในปัจจุบัน โดยมีผลงานการแสดงอันน่าทึ่งใน Brokeback Mountain ของผู้กำกับ อังลี ทำให้เธอได้รับรางวัล Broadcast Film Critics Association Award รวมถึงถูกเสนอชื่อเข้าชิงในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม จากเวทีลูกโลกทองคำ, สมาคมนักแสดง, รางวัลแบฟต้า รวมถึงรางวัลออสการ์
ในภาพยนตร์เรื่อง Blue Valentine มิเชล วิลเลี่ยมส์ รับบทเป็น ซินดี้ ผู้หญิงที่เคยมีความสุขในการแต่งงานกับ ดีน (รับบทโดย ไรอัน กอสลิ่ง) แต่แล้วจู่ๆความรักของเธอก็หล่นหายไป เธอและเขาต้องพยายามค้นหามันจากความทรงจำ เพื่อที่จะให้รักกลับมาเป็นเหมือนเก่าอีกครั้ง
นี่เป็นการเดินทางที่ยาวนานของพวกคุณทั้งสามคน คุณช่วยเล่าถึงการเข้ามาร่วมในโปรเจ็คหน่อยฉันได้อ่านบทที่ตัวแทนส่งมาให้เหมือนทั่วไป แต่เมื่อฉันได้อ่านทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ฉันยังจำรายละเอียดได้ชัดเจน ฉันจำได้ว่าไปพบกับผู้กำกับเมื่อไร ใส่เสื้อผ้าชุดไหน พวกเราคุยอะไรกันบ้าง มันกลายเป็นเหตุผลในการใช้ชีวิตของฉันที่จะสร้างหนังเรื่องนี้ แต่หลังจากนั้นมันก็หายไปเพราะฉันไม่มีเวลา และเมื่อฉันมีเวลา ไรอัน ก็กลับไม่ว่าง ในที่สุดหลังจากผ่านไป 6 ปีตั้งแต่ฉันอ่านบททุกอย่างก็ลงตัว
มันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุด ไรอัน และฉันยังพูดเลยว่าโชคดีที่พวกเราไม่ได้สร้างอย่างที่ตั้งใจตอนอายุ 22 ไม่เช่นนั้นเราคงไม่สามารถเล่าเรื่องจากทั้งสองฝั่งได้ เพราะเราคงยังไม่รู้ถึงความเจ็บปวดจากความรักที่หายไป เดเร็ค ผู้กำกับบอกพวกเราว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยมีเหตุผลในตัวของมันเอง เขาไม่เคยสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวฉัน และ ไรอัน เขาคือคนที่อยู่กับมันและรอคอยยาวนานที่สุด
ช่วยเล่าถึงประสบการณ์ในการแสดงหนังเรื่องนี้ เนื่องจากหนังส่วนมากจะถ่ายทำตั้งแต่ฉากเปิดจนถึงตอนจบ แต่หนังเรื่องนี้มีความแตกต่างออกไป
หนังเรื่องนี้ถูกเล่าแบบไม่ใช่เส้นตรง โดยเริ่มถ่ายทำช่วงแรกของความสัมพันธ์ เมื่อพวกเรายังเด็กและเพิ่งค้นพบกันและกัน จากนั้นเราก็หยุดทุกอย่างไปประมาณ 3-4 อาทิตย์ ก่อนที่จะถ่ายทำในเรื่องราวในปัจจุบัน ที่พวกเราแต่งงานกันและชีวิตคู่ก็เหมือนน้ำที่กำลังเดือด ไรอัน และ ฉันลำบากใจที่จะต้องทะเลาะกัน เพราะเราได้สร้างสิ่งที่สวยงามขึ้นมา และก็ไม่อยากทำลายมันทิ้งอย่างสิ้นเชิง
แต่ฉันมั่นใจกับวิธีการทำงานของ เดเร็ค ในการหยุดพักกองถ่ายเอาไว้เป็นเดือน เพื่อให้เราได้เตรียมตัวและเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นตัวละครที่มีวัยวุฒิมากกว่าเดิม และปล่อยอารมณ์รักให้ตกตะกอนลงไปก่อน แต่ถึงแม้จะหยุดพักแต่ เดเร็ค ก็ให้พวกเราใช้ชีวิตในบ้านหลังเดียวกัน สร้างความทรงจำให้กับบ้านหลังนี้ และเรียนรู้ที่จะรักและเกลียดกัน
ช่วยขยายความถึงการต้องอยู่ร่วมกันหน่อย
พวกเราทำทุกอย่างร่วมกันเหมือนสามี-ภรรยา พวกเราใช้เวลาร่วมกันในบ้านทั้งวัน ก่อนที่จะกลับไปนอนบ้านของตัวเอง ฉันจำได้ว่า เดเร็ค ขับรถพาไปที่บ้านที่ว่างเปล่าแล้วบอกว่าพวกเราว่า "ทำให้มันเป็นบ้าน" เราเลยมีโอกาสที่จะตัดสินใจเองว่าจะตกแต่งมันยังไงดี พวกเราไปห้างและซื้อของประดับมาตกแต่ง พวกเราถ่ายรูปร่วมกันและแขวนเอาไว้บนผนังบ้าน พวกเราจ่ายตลาด ทำอาหาร ทำความสะอาด เก็บขยะ ถ่ายโฮมวิดีโอ ฉันและ ไรอัน ได้สร้างความทรงจำให้บ้านหลังนี้เป็นเวลาหนึ่งเดือน
ฉันคิดว่ามันเป็นวิธีการทำงานที่ช่วยเหลือพวกเราได้อย่างมาก มันทำให้การต้องทะเลาะกันของตัวละครทั้งสองยิ่งสร้างผลกระทบภายในจิตใจมากขึ้น เพราะช่วงเวลาแห่งความสุขที่สร้างขึ้นมายังคงวนเวียนอยู่ในบรรยากาศและความทรงจำ มันยังทำให้ฉันสะเทือนใจถึงตอนนี้ ฉันจำได้ว่าตัวเองไม่สามารถถอดแหวนแต่งงานในเรื่อง หลังจากปิดกล้องเกือบสองอาทิตย์ เพราะยังอยู่ในภวังค์และไม่ต้องการแยกจากเขา
คุณคิดยังไงเกี่ยวกับประเด็นของหนังเรื่องนี้ที่ได้รับเรท NC-17 ก่อนที่จะยื่นอุทธรณ์ผ่านจนได้เรท R
ฉันเองก็ไม่รู้นะ หลายคนหยิบเรื่องนี้มาเป็นประเด็นสำคัญ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันรู้สึกเป็นกังวล แน่นอนที่ฉันรู้สึกผิดหวังที่ได้ยินครั้งแรกว่ามันได้เรทไหน และก็รู้สึกแปลกใจด้วย แต่ฉันก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ฉันคิดว่ามันคงส่งผลกระทบต่อการขายหนัง แต่มันไม่ได้สร้างผลกระทบต่อความรู้สึกของฉันกับหนัง หรือประสบการณ์ของฉันที่ได้รับจากหนัง ฉันมั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ในการดูแลของคนที่รักและเคารพหนังเรื่องนี้
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันสนใจและไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน นั้นคือเรื่องของมาตรฐานการจัดเรท ระหว่างเรื่องเซ็กซ์และคำหยาบกับความรุนแรง ฉันคงไม่ต้องอธิบายเหมือนใครหลายคนที่ได้พูดถึงอย่างละเอียดไปแล้ว เช่นหนังของคุณมีฉากยิงแสกหน้าคนแล้วได้เรท PG-13 ในขณะที่หนังของคุณมีฉากผู้หญิงจูบกันกลับได้เรท R ฉันรู้สึกว่าบางอย่างต้องถูกเปลี่ยนแปลง
ช่วยเล่าถึงฉากร่วมรักที่เป็นเรื่องหน่อย
พวกเราไม่ได้ซักซ้อมกันมาก่อน มันคือวันที่กดดันที่สุดวันหนึ่งในการถ่ายทำ และแตกต่างจากช่วงแรกที่สนุกและมีชีวิตชีวาอย่างสิ้นเชิง ไรอัน และฉันไม่ได้กลายเป็น ไรอัน และ มิเชล อีกต่อไป พวกเรารู้สึกว่าตัวเองคือ ดีน และ ซินดี้ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในหลุมดำที่ไม่มีจุดสิ้นสุด จำได้ว่าวันนั้นฉันขับรถกลับบ้านแบบเปิดกระจก เปิดเพลงดังที่สุด โผล่หัวออกไปข้างนอกและตะโกนสุดเสียง นั้นคือการปลดปล่อยความกดดันที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ในฐานะที่คุณเป็นนักแสดงที่เคยแสดงฉากนู้ด คุณมีมาตรฐานการเลือกรับเล่นบทยังไง มันรู้สึกแปลกไหมที่ต้องเผยทุกอย่างให้กับคนอื่นเห็นมันรู้สึกแปลกอยู่เหมือนกัน แต่มันก็สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อฉันได้อ่านเรื่องราวและเห็นถึงเหตุผลของมัน นี่คือภาระที่ฉันต้องทำเพื่อการเล่าเรื่องให้มีความสมบูรณ์ แต่น่าแปลกที่มันเกิดขึ้นกับฉันตลอดเวลา อย่างเช่นหลังจาก Blue Valentine ฉันก็คิดกับตัวเองว่า "โอเค ฉันคงไม่ต้องแสดงฉากแบบนั้นอีกแล้ว" แต่เมื่อฉันได้อ่านบทหนังที่ยอดเยี่ยมของ ซาร่าห์ พอลลี่ ที่ชื่อ Take This Waltz ซึ่งมีฉากแบบนั้นเต็มไปหมด ฉันก็คิดกับตัวเองว่า "เอาอีกแล้วเหรอ" (หัวเราะ) มันอาจเป็นเพราะฉันใช้ความรู้สึกเข้ามาตัดสินใจเป็นหลัก
สุดท้ายนี้คุณช่วยสรุปถึงสิ่งที่ Blue Valentine เป็นหน่อย
ฉันคิดว่ามันเป็นหนังรักที่แตกต่าง มันมีการเปรียบเทียบให้เห็นถึงองค์ประกอบทั้งสองด้าน ผู้ชายและผู้หญิง ความรักและความเกลียด ความทรงจำและปัจจุบัน วัยรุ่นที่มีอิสระและผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ ความลึกลับของความรัก การตกหลุมรักและการหลุดออกจากรัก มันพยายามถ่ายทอดความสัมพันธ์ในรูปแบบที่บริสุทธิ์ที่สุด
ประวัติ มิเชล วิลเลี่ยมส์ (รับบทเป็น ซินดี้)
ด้วยการแสดงอันน่าทึ่งของ มิเชล วิลเลี่ยมส์ ใน Brokeback Mountain ของผู้กำกับ อังลี ทำให้เธอได้รับรางวัล Broadcast Film Critics Association Award รวมถึงถูกเสนอชื่อเข้าชิงในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากเวทีลูกโลกทองคำ, สมาคมนักแสดง, รางวัลแบฟต้า รวมถึงรางวัลออสการ์
ในปี 2004 วิลเลี่ยมส์ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยมจาก The Station Agent ในปี 2007 เธอก็ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมของ Independent Spirit Award ในผลงานเรื่อง Land of Plenty ของผู้กำกับ วิม เวนเดอร์ ต่อมาในปี 2009 การแสดงนำในหนังเรื่อง Wendy and Lucy ก็ทำให้ วิลเลี่ยมส์ ได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก สมาคมนักวิจารณ์โตรอนโต้ และถูกเสนอชื่อเข้าชิง Independent Spirit Award เป็นครั้งที่สาม
ผลงานเรื่องอื่นของ วิลเลี่ยมส์ ก็ยังมี Incendiary ที่แสดงคู่กับ ยวน แม็คเกรเกอร์, Synecdoche New York ของผู้กำกับ ชาร์ลี คอฟแมน, I'm Not There ของผู้กำกับ ท็อดด์ เฮย์เนส, The Hottest State ของ อีธาน ฮอว์ค รวมถึงผลงานล่าสุดอย่าง Shutter Island ของผู้กำกับ มาร์ติน สกอเซซี่ย์ ที่เธอแสดงร่วมกับ ลีโอนาโด ดิคาปริโอ
วิลเลี่ยมส์ ยังมีผลงานละครเวที โดยได้รับเสียงชื่นชมกึก้องจากการแสดงเป็น วาร์ย่า จากบทประพันธ์ของ เชคคอฟ เรื่อง The Cherry Orchard ที่เปิดการแสดงในเทศกาลละครวิลเลี่ยมส์ทาวน์ โดยเธอยังมีผลงานละครเรื่อง Smelling a Rat ของ ไมค์ ลีห์ และ Killer Joe ที่โรงละครแซมมวล บัคเก็ตต์ส
เส้นทางการแสดงของ มิเชล วิลเลี่ยมส์
ด้วยวัยเพียงแค่ 30 ปี มิเชล วิลเลี่ยมส์ กลายเป็นนักแสดงที่ดีที่สุดคนหนึ่งในรุ่นเดียวกัน เธอเป็นนักแสดงที่มีพรสรรค์และมีไหวพริบในการเลือกเล่นหนัง ชีวิตของเธอต้องเจอกับการสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อผู้ชายที่เป็นที่รักอย่าง ฮีธ เลดเจอร์ ต้องเสียชีวิตกระทันหัน แต่เธอก็สามารถยืนหยัดเลี้ยงลูกตัวคนเดียวได้อย่างเข้มแข็ง
ความใฝ่ฝันในการเป็นนักแสดงของฉันเริ่มตั้งแต่เด็ก ฉันจำได้ว่าตัวเองได้ดู Empire of the Sun เมื่อตอนอายุ 7 หรือ 8 ขวบ และมันก็สร้างผลกระทบทางจิตใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มันเป็นหนังเรื่องแรกที่เขย่าโลกของฉัน และทำให้ฉันนอนไม่หลับ มันมีพลังที่อยู่เหนือกว่าความสนุก และนั้นก็ทำให้ฉันอยากเป็นมากกว่าคนดูเป็นครั้งแรก
มิเชล วิลเลี่ยมส์ ทำตามความใฝ่ฝันของตัวเอง โดยเริ่มรับแสดงตามละครเวทีชุมชน และก่อนที่จะเรียนจบไฮสกูล เธอก็ตัดสินใจทำในสิ่งที่เพื่อนร่วมรุ่นไม่ทำกัน นั้นคือการย้ายออกจากบ้านเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่การเป็นนักแสดง โดยที่ตอนนั้นเธอมีอายุไม่ถึง 18 ด้วยซ้ำ
ตอนที่ถูกคัดเลือกให้รับบทใน Dawson’s Creek ฉันเพิ่งอายุ 15 เท่านั้น ในขณะที่นักแสดงคนอื่นอายุ 18 กันแล้ว ตามปกติแล้วนักแสดงที่อายุไม่ถึง 18 จะต้องมีข้อจำกัดมากมาย เช่นการถูกจำกัดเรื่องเวลาทำงาน ต้องมีครูมาสอนในกองถ่าย หรือว่าได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง แต่อาจเป็นเพราะความเป็นคนหัวแข็งของฉัน ฉันเลยขอให้ทุกคนปฏิบัติกับฉันเหมือนกับนักแสดงผู้ใหญ่ทั่วไป เมื่อมองย้อนกลับไปฉันก็รู้สึกโชคดีที่ตัวเองรอดออกมาได้ ฉันไม่เคยรู้จักเด็กอายุ 15 คนไหนที่ต้องรับผิดชอบเหมือนฉันเลย
การรับบทเป็น เจน ลินลี่ย์ วัยรุ่นเจ้าปัญหาใน Dawson’s Creek ถือเป็นการแจ้งเกิดของนักแสดงคนนี้อย่างเต็มตัว โดย มิเชล ได้เข้าชิงรางวัล YoungStar Awards ในปี 1998 และ 1999 และก็รับบทนี้ยาวนานกว่า 6 ปี อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่านักแสดงสาวคนนี้จะก้าวข้ามนักแสดงรุ่นพี่คนอื่นๆ และกลายเป็นดาราแถวหน้าของฮอลลิวู้ดในอนาคต
มิเชล ก้าวเข้ามาสู่โลกภาพยนตร์ด้วยการแสดงในหนังตลกร้ายที่ชื่อ Dick คู่กับนักแสดงดาวรุ่งในขณะนั้นอีกคนอย่าง เคิร์สเต็น ดันส์ รวมถึงหนังอินดี้คุณภาพเรื่องอื่นๆอย่าง Prozac Nation ที่เธอแสดงคู่กับ คริสติน่า ริชชี่ และ The Station Agent (2003) หนังดราม่าเจ้าของรางวัล Jury Prize และขวัญใจคนดูในเทศกาลหนังซันแด๊นซ์
แต่ความสำเร็จของ มิเชล เกิดขึ้นในปี 2005 เมื่อเธอรับบทเป็น เดลมาร์ ผู้หญิงที่พบว่าสามีของตัวเองรักกับผู้ชายอีกคน ในหนังของผู้กำกับ อังลี เรื่อง Brokeback Mountain ที่ทำให้เธอได้รับรางวัล Broadcast Film Critics Association Award รวมถึงถูกเสนอชื่อเข้าชิงในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม จากเวทีลูกโลกทองคำ, สมาคมนักแสดง, รางวัลแบฟต้า รวมถึงรางวัลออสการ์
ฉันพูดเสมอว่าหลังจาก Brokeback Mountain ฉันรู้สึกว่าตัวเองสามารถวางมือจากวงการแสดงไปได้เลย เพราะมันสมบูรณ์แบบที่สุด และทำให้ฉันรู้สึกว่า "โอเค ฉันทำมันไปแล้ว และนั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว" มันทำให้ฉันรู้สึกอยากพักผ่อน นี่คือหนังที่ฉันภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างในอาชีพฉันตั้งแต่เข้าวงการก็ปูทางมาถึงหนังเรื่องนี้
เป็นความโชคดีของคนดู ที่ มิเชล ไม่ได้ทำอย่างที่คิดเอาไว้ เมื่อเธอนำแสดงในหนังเรื่อง Incendiary คู่กับ ยวน แม็คเกรเกอร์, The Hottest State ของ อีธาน ฮอว์ค, I'm Not There ของผู้กำกับ ท็อดด์ เฮย์เนส รวมถึงการแสดงนำในหนังเรื่อง Wendy and Lucy ที่ทำให้ มิเชล ได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากสมาคมนักวิจารณ์โตรอนโต้ และถูกเสนอชื่อเข้าชิง Independent Spirit Award
หลังจากเมื่อต้นปี 2010 เธอได้รับบทที่น่าจดจำอีกครั้งใน Shutter Island คู่กับ ลีโอนาโด ดิคาปริโอ ในที่สุด มิเชล ก็ได้รับบทที่ท้าทายที่สุดอีกครั้งหนึ่งใน Blue Valentine ในบท ซินดี้ ผู้หญิงที่แต่งงานกับ ดีน (ไรอั้น กอสลิ่ง) มันคือหนังที่ลงไปสำรวจชีวิตการแต่งการที่ถึงทางตัน และมันเป็นประสบการณ์ดิบที่ทำให้คนดูทุกคนรู้สึกมีอารมณ์ร่วม
ฉันคิดว่า Blue Valentine เป็นหนังรักที่แตกต่าง มันมีการเปรียบเทียบให้เห็นถึงองค์ประกอบทั้งสองด้าน ผู้ชายและผู้หญิง ความรักและความเกลียด ความทรงจำและปัจจุบัน วัยรุ่นที่มีอิสระและผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ ความลึกลับของความรัก การตกหลุมรักและการหลุดออกจากรัก มันพยายามถ่ายทอดความสัมพันธ์ในรูปแบบที่บริสุทธิ์ที่สุด
การแสดงของ มิเชล ใน Blue Valentine ได้รับเสียงชื่นชมอย่างท่วมท้น โดยเธอสามารถเข้าชิงรางวัลนำหญิงทั้งลูกโลกทองคำ, Chicago Film Critics Association Awards, Independent Spirit Awards, San Diego Film Critics Society Awards, Satellite Awards และหลังจากที่เธอเคยเข้าชิงออสการ์เมื่อ 6 ปีที่แล้ว นี่ก็เป็นครั้งที่สองที่เธอได้เข้าชิงออสการ์อีกครั้ง