กรุงเทพฯ--28 มิ.ย.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาทของ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” พร้อมแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลงานของบริษัทในตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย ตลอดจนตราสินค้าที่ได?รับการยอมรับในตลาดทาวน์เฮ้าส์ในเมือง และความสามารถในการแสวงหาที่ดินในทำเลที่ดีสำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท?อนถึงวงจรธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย?ที่ชะลอตัวและอุปสงค?ที่อยู?อาศัยที่ลดลงอันเป?นผลมาจากสถานการณ?ทางการเมืองที่ไม?แน?นอนและความเชื่อมั่นของผู?บริโภคที่ลดลง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถบริหารการก่อสร้างและการโอนโครงการคอนโดมิเนียมได้ตามแผน อีกทั้งยังคาดว่าบริษัทจะยังคงนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังเพื่อบรรเทาความเสี่ยงทางธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้นจากสัดส่วนการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมที่เพิ่มมากขึ้น
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ ก่อตั้งในปี 2532 โดยนายอนุพงษ์ อัศวโภคิน และนายพิเชษฐ วิภวศุภกร ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท โดยถือหุ้นรวมกัน 36% ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายเฉลี่ยปีละ 5,000 ล้านบาท จำแนกเป็นทาวน์เฮ้าส์ 70%-80% คอนโดมิเนียม 11%-15% และบ้านเดี่ยว 5%-15% ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากการเน้นพัฒนาที่อยู่อาศัยในเมืองและความสามารถในการแสวงหาที่ดินในทำเลที่ดี ราคาขายที่อยู่อาศัยเฉลี่ยต่อหน่วยในโครงการทั้งหมดของบริษัทซึ่งลดลงมาอยู่ที่ 3.9 ล้านบาทแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนกลยุทธ์มาเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางมากขึ้น ณ เดือนพฤษภาคม 2550 บริษัทมีโครงการที่กำลังเปิดขายรวมทั้งสิ้น 25 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 31,000 ล้านบาท โดยมูลค่าของทาวน์เฮ้าส์คิดเป็น 45% ของโครงการทั้งหมด ในขณะที่คอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวมีมูลค่าคิดเป็น 35% และ 20% ตามลำดับ สืบเนื่องจากการที่บริษัทหันมาเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้น ทำให้คาดการณ์ว่าสัดส่วนรายได้ในส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 40%-50% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2550 รายได้จากการขายของบริษัทเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ ลดลงตามภาวะตลาดที่ชะลอตัว แม้ว่ารายได้จากการขายที่อยู่อาศัยของบริษัทจะเติบโตจาก 5,258 ล้านบาทในปี 2548 เป็น 6,344 ล้านบาทในปี 2549 แต่กลับลดลง 9% เป็น 1,415 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2550 จาก 1,546 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2549 อย่างไรก็ตาม บริษัทประสบความสำเร็จในการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งทำให้บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าจาก 1,693 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2549 เป็น 3,541 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2550
สัดส่วนเงินกู?รวมต?อโครงสร?างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นในปี 2549 หลังจากที่เคยเพิ่มสูงสุดในปี 2548 โดยอัตราส่วนเงินกู?รวมต่อ โครงสร้างเงินทุนของบริษัทลดลงจาก 57% ณ ปลายปี 2548 เป็น 43% ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2550 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกู?รวมต่อ โครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อมีการก่อสร้างคอนโดมิเนียมที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้พร้อมกันหลายโครงการ ในขณะที่การแข่งขันในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัยยังคงเป็นสิ่งกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท โดยอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 31% ในปี 2547 เป็น 17% ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2550 อันเป็นผลสืบเนื่องจากการมีคู่แข่งรายใหม่ที่เน้นพัฒนาทาวน์เฮ้าส์ในเมืองเพิ่มมากขึ้น และบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่สูงขึ้นจากโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงอย่างต่อเนื่องและส่งผลให้อุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัยอ่อนตัวลง และแม้ว่าแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะค่อยๆ บรรเทาลง แต่ก็คาดว่าอุปสงค์ในที่อยู่อาศัยจะยังคงชะลอตัวต่อไปในช่วงปี 2550-2551