กรุงเทพฯ--1 ก.พ.--กองประชาสัมพันธ์ กทม.
หลังเปิดให้ยื่นใช้สิทธิ์โครงการบ้านยิ้ม 2 (เพิ่มเติม) วันแรกมีข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และพนักงานการพาณิชย์ของ กทม. สนใจใช้สิทธิ์กว่า 2 พันคน กทม. จึงอนุมัติวงเงินเพิ่มอีก 1 พันล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ 1,090 ล้านบาท ส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และสร้างขวัญ กำลังใจแก่บุคลากรในสังกัด
ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ตามที่กรุงเทพมหานครได้เปิดให้ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และพนักงานการพาณิชย์ของ กทม. ยื่นใช้สิทธิ์สินเชื่อโครงการบ้านยิ้ม 2 เป็นวันแรก ปรากฏว่ามีผู้สนใจยื่นใช้สิทธิ์กว่า 2 พันคน ซึ่งเกินกว่าจำนวนที่ตั้งไว้ประมาณ 700 คน ในวงเงิน 1,090 ล้านบาท จึงได้มีการอนุมัติวงเงินเพิ่ม 1,000 ล้านบาท และอาจขยายวงเงินเพิ่มอีกโดยรวมกับวงเงินที่ตั้งไว้แล้วไม่เกิน 3,000 ล้านบาท เพื่อให้เพียงพอกับจำนวนผู้ยื่นใช้สิทธิ์ในวันนี้ทุกคน
ทั้งนี้ โครงการบ้านยิ้ม 2 ประกอบด้วย สินเชื่อเพื่อซื้อบ้าน สินเชื่อเพื่อปลูกบ้านหรือซ่อมแซมบ้าน และสินเชื่อเพื่อทำสัญญาเงินกู้ใหม่หรือรีไฟแนนซ์ วงเงินกู้ไม่เกินรายละ 1,500,000 บาท อัตราดอกเบี้ยต่ำเพียงร้อยละ 2.5 ต่อปี ผ่อนชำระนานถึง 30 ปี โดยยื่นกู้เงินผ่าน 4 สถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และธนาคารออมสิน หากมีผู้สนใจยื่นขอสินเชื่อครบวงเงินที่ตั้งไว้ กทม. ขอสงวนสิทธิ์การปิดรับเอกสารก่อนกำหนด
สำหรับผู้สนใจขอรับแบบฟอร์มจากหน่วยงานต้นสังกัด หรือทางเว็บไซต์ www.bangkok.go.th./housing พร้อมทั้งนำใบขอสิทธิ์ใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยโครงการบ้านยิ้ม 2 ที่ผู้บังคับบัญชารับรองแล้ว สำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน บัตรประจำตัวข้าราชการ หรือลูกจ้างกทม. ยื่นขอใช้สิทธิ์ได้ที่ สำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัย กทม. เลขที่ 208 ชั้น 8 สำนักงานเขตลาดพร้าว ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 28 ก.พ. 54 ในวันและเวลาราชการ ซึ่งผู้ที่ได้สิทธิ์โครงการบ้านยิ้ม 1 และ 2 แล้ว จะไม่ได้รับสิทธิ์สำหรับวงเงินกู้ในรอบนี้
ดร.ธีระชน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรุงเทพมหานครจัดทำโครงการบ้านยิ้ม 1 และ 2 ประมาณ 2 ปีแล้ว ถือเป็นสวัสดิการที่ดี มีประโยชน์ และมีความสำคัญต่อบุคลากรในสังกัดเป็นอย่างมาก เป็นการส่งเสริม สนับสนุนให้ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และพนักงานการพาณิชย์ของ กทม. มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ช่วยแก้ปัญหาขาดที่อยู่อาศัย ซึ่งที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมโครงการและได้รับประโยชน์รวมคิดเป็นร้อยละ 15 — 16 จากบุคลากร กทม. ทั้งหมด เป็นการใช้ประโยชน์จากเงินฝากให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงสร้างขวัญและกำลังใจแก่บุคลากรในสังกัดด้วย