กรุงเทพฯ--1 ก.พ.--ธนาคารกสิกรไทย
ได้รับความสำเร็จอย่างถล่มทลายในปีแรก สำหรับรายการ SME ตีแตก รายการที่ได้รับการผนึกกำลังสร้าง ระหว่าง ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน)
ซึ่งในปีที่ 2 นี้ SMEตีแตก ได้ปรับโฉมรูปแบบรายการใหม่ให้สนุกสนานเข้มข้นซึ่งนอกจากจะได้เวลาดีเป็นสี่ทุ่มครึ่งแล้ว ยังปรับเปลี่ยนฉาก เพิ่มแสงสี และยกย่องธุรกิจSME อย่างเต็มที่ โดยเจาะลึกในด้านของแผนการตลาดและกลยุทธ์ด้วยการแข่งขันเพื่อ “ค้นหา
สุดยอดธุรกิจ SME แห่งปี” ชิงรางวัลใหญ่ เงินสดจำนวน1,000,000บาท (หนึ่งล้านบาท)และ ถ้วยรางวัลแห่งเกียรติยศที่จะมีเพียงชิ้นเดียวในโลก ซึ่งจะถูกออกแบบโดยศิลปินชั้นนำของประเทศ ส่วนเกณฑ์การตัดสินเพื่อค้นหาสุดยอดธุรกิจนี้ จะค้นหาจากธุรกิจที่เข้าร่วมแข่งขันกับทางรายการ จำนวน 40 ธุรกิจ ตลอดปี 2554 และธุรกิจที่ได้รับคะแนนสูงสุด 8 อันดับแรก จะมีโอกาสเข้าไปแข่งขันในรอบสุดท้าย ซึ่งในรอบสุดท้ายนั้นผู้เข้ารอบทั้ง 8 ธุรกิจจะได้พบเจอกับคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายอาชีพที่ประสบความสำเร็จ จำนวน 10 ท่าน เพื่อมาช่วยกันตัดสินและพิจารณาว่า 1 ใน 8 ธุรกิจไหนจะได้รับรางวัลอันทรงเกียรติพร้อมทั้งถูกจารึกว่าเป็นธุรกิจหนึ่งเดียวของความเป็นสุดยอดธุรกิจ SME แห่งปี !
โดยใน เทปแรกที่ประเดิม SMEตีแตก ปี 2นี้ พลาดไม่ได้เด็ดขาดกับธุรกิจI-Maru ไอศกรีมรูปไข่ที่มีความแปลกใหม่และไม่เคยมีใครในวงการไอศครีมเคยทำมาก่อนจากรูปทรงที่สุดแสนจะธรรมดา แต่ถ้าเปิดจุกออกมาแล้วคนกินไม่สามารถเอาปากออกจากไข่ได้ และด้วยความอร่อยแบบสนุก ทำให้ไอศกรีมไข่เป็นที่ถูกใจทุกเพศทุกวัย เปิดกิจการมาเพียง4 เดือน แต่สามารถสร้างรายได้สูงถึงเดือนละ1ล้านบาท ขยายสาขามากถึง 25 สาขา ที่สำคัญไอศกรีมไข่ I — Maru ยังประเดิมตีแตกได้เป็นธุรกิจแรกของการปรับโฉมใหม่ ว่าแต่จะเพราะทีเด็ดอะไร ต้องติดตามชมในรายการ โดยออกอากาศสู่สาธารณชนในคืนวันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554สี่ทุ่มครึ่ง ทางช่อง 5
นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่าเครือธนาคารกสิกรไทยนับเป็นผู้ริเริ่มในวงการธนาคารพาณิชย์ในการนำเสนอองค์ความรู้ผ่านรายการโทรทัศน์ ซึ่งให้ทั้งสาระและความบันเทิงแก่ทั้งผู้ประกอบการและผู้ชมทั่วไป ทั้งนี้ผลตอบรับที่ได้กลับมาจากการทำรายการ SME ตีแตกในปีแรก นับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง โดยสิ่งที่ผู้ชมชื่นชอบรายการ SME ตีแตก คือ รูปแบบและเนื้อหาของรายการ ที่มอบสาระความรู้จากแผนธุรกิจของผู้ประกอบการและจากข้อเสนอแนะของคณะกรรมการผู้ให้ความเห็น (commentator) และยังให้ความบันเทิงควบคู่กันไป ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าธุรกิจ SME ไม่ใช่เรื่องยาก และสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ชมที่สนใจทำธุรกิจได้ ขณะเดียวกันผู้ชมที่เป็นผู้ประกอบการซึ่งมีธุรกิจเป็นของตัวเองอยู่แล้วก็ยังได้รับประโยชน์ในการนำความรู้จากธุรกิจของผู้เข้าแข่งขัน ซึ่งในปี 2553 มีทั้งสิ้น 43 ธุรกิจมาปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองได้อีกด้วย
สำหรับการเฟ้นหาสุดยอดธุรกิจ SME แห่งปี ในรายการ SME ตีแตก ปี 2 นี้ จะมีผลให้เนื้อหาของรายการมีทั้งความบันเทิงและสาระความรู้ที่ความเข้มข้นขึ้นอย่างแน่นอน เพราะจะเป็นการคัดสรรธุรกิจ SME 40 ธุรกิจ ที่เข้าแข่งขัน ให้เหลือ 8 ธุรกิจที่จะผ่านเข้ารอบ เพื่อชิงความเป็นสุดยอดธุรกิจ SME แห่งปี ซึ่งจะทำให้ให้ผู้เข้าแข่งขันมีการวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของตนเองให้มีความโดดเด่นและมีนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น และก็จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ชมทางบ้านด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจ SME ที่จะได้รับทั้งความสนุก ความรู้ ตลอดจนแนวความคิดใหม่ ๆ ในการประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ เครือธนาคารกสิกรไทยเชื่อว่ารายการ SME ตีแตกในปีที่ 2 นี้จะยังคงเป็นประโยชน์ในการมีส่วนช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของ SME ในประเทศไทยโดยรวม ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนกว่า 3 ล้านกิจการ คิดเป็นร้อยละ 97 ของจำนวนธุรกิจทั้งประเทศ และธุรกิจ SME ก่อให้เกิดการจ้างงานกว่าร้อยละ 50 ของธุรกิจในประเทศไทยด้วย ดังนั้นการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาของธุรกิจSME ย่อมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่เศรษฐกิจของไทยเช่นกัน โดยเครือธนาคารกสิกรไทยก็พร้อมที่จะสนับสนุนธุรกิจของผู้ประกอบการ SME ทั้งด้านการเงินและองค์ความรู้ในทุกช่วงธุรกิจด้วยเช่นกัน