กรุงเทพฯ--2 ก.พ.--สมาคมไทยรับสร้างบ้าน
สมาคมไทยรับสร้างบ้านวอนสมาชิกสมาคมฯ ชะลอปรับราคาบ้านแม้ต้นทุนเพิ่ม 3-8% หวั่นผลักภาระผู้บริโภคอาจทำให้กำลังซื้อหดตัว แนะผู้ประกอบการแบกต้นทุนแทนการปรับราคาขายบ้าน “เชื่อได้มากกว่าเสีย” เผยพร้อมเป็นแกนกลางดึงสมาชิกรับสร้างบ้าน-วัสดุก่อสร้างทั้ง 2 กลุ่มรวมคำสั่งซื้อเพิ่มจำนวนหน่วยขาย หวังช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งร่วมกัน คาดปีนี้ตลาดรับสร้างบ้านในภูมิภาคเติบโตสูงสุดร้อยละ 30
นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน เผยว่า เริ่มต้นเปิดศักราชใหม่ปีกระต่าย บรรดาผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่างออกมาอ้างเหตุต้นทุนวัสดุก่อสร้างและค่าขนส่งปรับตัวสูงขึ้น 3-8% จึงจำเป็นต้องต้องปรับราคาขายบ้านเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3-5% ซึ่งจากเหตุผลดังกล่าวสมาคมฯ มองว่าเป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภครับผิดชอบฝ่ายเดียว โดยที่ผู้ประกอบการยังมิได้มีการปรับปรุงการบริหารจัดการใดๆ เพื่อหาทางลดภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้เชื่อว่าผู้ประกอบการสามารถดำเนินการได้ในระดับหนึ่ง พร้อมทั้งชี้แนะผู้ประกอบการและชมรมหรือสมาคมฯ ที่เกี่ยวข้องกับภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้าน ควรจะหาทางส่งเสริมและสนับสนุนสมาชิกทั้งทางตรงหรือทางอ้ออม เช่น การรวมคำสั่งซื้อ ฯลฯ เป็นต้น เพื่อช่วยกันประคองราคาบ้านมิให้สูงขึ้น สมาคมฯ มองว่าราคาขายบ้านโดยเฉลี่ยในปัจจุบันของกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้าน จัดว่าราคาขายอยู่ในระดับที่สูงกว่าผู้รับเหมารายย่อยทั่วๆ ไปอยู่แล้ว หากปรับราคาขายขึ้นไปอีกจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีโดยรวม
ในปี 2554 นี้ สมาคมฯ ประเมินว่าทิศทางตลาดรับสร้างบ้านอยู่ในช่วงขาขึ้น หากผู้ประกอบการหรือบริษัทรับสร้างบ้าน สามารถตรึงราคาขายบ้านไว้ได้ก็จะช่วยให้กำลังซื้อยังสามารถเติบโตต่อเนื่อง แต่หากว่าในปีนี้ราคาบ้านปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น อาจจะทำให้กำลังซื้อผู้บริโภคส่วนหนึ่งชะลอตัว และจะฉุดให้มูลค่าตลาดรับสร้างบ้านลดลงตาม นอกจากนี้สมาคมฯ ได้คาดไว้ว่าความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภค จะเลือกวิธีกู้ยืมหรือขอสินเชื่อธนาคารมากกว่าใช้เงินออม ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยธนาคารในปีนี้ก็มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งย่อมจะส่งผลกระทบกับกำลังผ่อนชำระรายเดือนของผู้บริโภคด้วยเช่นกัน ฉะนั้นจะเป็นการดีหากผู้ประกอบการสามารถบริหารต้นทุนให้ต่ำลง เพื่อไม่เป็นภาระหรือบั่นทอนกำลังซื้อและแบ่งเบาภาระของผู้บริโภคในช่วงไตรมาสแรกนี้
นายสิทธิพร กล่าวต่อว่า เมื่อเร็วๆ นี้สมาคมไทยรับสร้างบ้าน ได้เรียกประชุมคณะกรรมการสมาคมฯ เพื่อหารือถึงแนวทางการปรับตัวกับสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมขอความร่วมมือจากสมาชิกทั้งกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านและกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ขอให้ยืนราคาวัสดุและราคาขายบ้านในช่วงไตรมาสแรกไว้ก่อน ทั้งนี้เพื่อมิให้ผู้บริโภคที่กำลังจะสร้างบ้านหลังใหม่ ในช่วงไตรมาสแรกได้รับผลกระทบดังกล่าว โดยสมาคมฯ ได้เสนอแนวทางให้เกิดความร่วมมือระหว่างสมาชิกทั้ง 2 กลุ่ม ด้วยการรวมคำสั่งซื้อเพื่อให้มีจำนวนมากๆ และบริหารการจัดส่งสินค้าร่วมกันเท่าที่จะทำได้ ซึ่งจะสามารถลดต้นทุนค่าก่อสร้างได้ในระดับหนึ่ง พร้อมทั้งแนะนำสมาชิกหันมาจัดรายการส่งเสริมการขาย แม้ว่าจะมีผลทำให้กำไรต่อหน่วยลดลงบ้าง แต่จะเป็นกระตุ้นกำลังซื้อให้มีหน่วยสร้างบ้านมากขึ้น สำหรับมาช่วยชดเชยรายได้หรือกำไรต่อหน่วยที่หายไป ซึ่งสมาชิกทุกรายเห็นพ้องกันและยินดียืนราคาขายบ้านไว้เช่นเดิม อย่างไรก็ตามคณะกรรมการสมาคมฯ จะมีการประเมินสถานการณ์และเรียกประชุมอีกครั้งในช่วงท้ายไตรมาสแรก
อนึ่ง สมาคมฯ ได้มีการสำรวจความเห็นสมาชิกกลุ่มรับสร้างบ้านที่ตั้งอยู่ในภูมิภาค ในหัวข้อ “คาดการณ์ยอดขายบ้านในช่วงไตรมาสแรกปีนี้” โดยสมาชิกส่วนใหญ่คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20-30 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว โดยเหตุผลสนับสนุนเกิดจาก 1.การรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัทรับสร้างบ้านของผู้บริโภคในภูมิภาคมีมากขึ้น 2.บริษัทรับสร้างบ้านในปัจจุบันได้ขยายพื้นที่ให้บริการจากกรุงเทพฯ และปริมณฑลออกมายังภูมิภาคมากขึ้น 3.ผู้บริโภคมั่นใจที่จะเลือกใช้บริษัทรับสร้างบ้านมืออาชีพแทนผู้รับเหมารายย่อยทั่วไป โดยเหตุผลที่กล่าวมาถือว่ามีนัยสำคัญต่อทิศทางการเติบโตของภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการในธุรกิจนี้จะต้องตีโจทย์ให้แตก พร้อมปรับตัวเองให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคและลูกค้าเป้าหมาย เพื่อเป็นการขยายโอกาสของตัวเองและมีส่วนพัฒนาตลาดรวมรับสร้างบ้านให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง