กรีนพีซขีดเส้นตายให้เฟสบุ๊คหันหลังให้ถ่านหินแล้วใช้พลังงานหมุนเวียนภายในวันคุ้มครองโลกปีนี้

ข่าวทั่วไป Friday February 4, 2011 14:33 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--4 ก.พ.--กรีนพีซ กรีนพีซเรียกร้องให้เฟสบุ๊ค เครือข่ายสังคมออนไลน์ยักษ์ใหญ่ หันมาใช้พลังงานหมุนเวียน พร้อมพัฒนาแผนดังกล่าวก่อนวันคุ้มครองโลก (22 เมษายน) ที่จะถึงนี้ โดยเลิกใช้พลังงานจากถ่านหินในการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่เครือข่ายคอมพิวเตอร์ของเฟสบุ๊คที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว การรณรงค์ “Facebook: Unfriend coal” ล่าสุดของกรีนพีซ ได้รับการสนับสนุนจากผู้คนกว่า 600,000 คนทั่วโลก (1) ตามมาด้วยการให้สัมภาษณ์ (2) ณ การประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอซ ของคูมิ ไนดู ผู้อำนวยการบริหาร กรีนพีซสากล เมื่อสัปดาห์ก่อน ที่ได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ของเฟสบุ๊คในการก้าวเป็นผู้นำโลกโดยการหันมาใช้พลังงานหมุนเวียน คูมิได้พูดคุยเรื่องนี้ออกอากาศกับแรนดี ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาการตลาดของเฟซบุ๊ค เพื่อผลักดันให้นายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (3) ประธานบริษัท ยอมรับในข้อตกลงนี้ภายในวันคุ้มครองโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 22 เมษายน โดยกรีนพีซได้เรียกร้องให้เฟสบุ๊คดำเนินการดังต่อไปนี้ - ใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น - พัฒนาแผนรอยเท้าพลังงาน (Climate Footprint) และเลิกใช้ถ่านหินภายในปี 2564 - ชี้แจงที่มาของพลังงานในการดำเนินการของบริษัทให้แก่ผู้ใช้เฟสบุ๊ค - สนับสนุนพลังงานหมุนเวียนทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติและระดับระหว่างประเทศ “มีผู้คนนับล้านใช้เฟสบุ๊คหลายล้านคนต่อวัน แต่น่าเสียดายที่เฟสบุ๊คยังคงพึ่งพาพลังงานสกปรกจากศตวรรษที่ 19 อย่างถ่านหิน มาดำเนินการเทคโนโลยีสมัยศตวรรษที่ 21” เคซี ฮาเรล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านพลังงาน กรีนพีซกล่าว “คนทั่วโลกได้เรียกร้องให้บริษัทที่พวกเขาชื่นชอบเป็นผู้นำด้านการปฏิวัติพลังงาน แล้วมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กจะยอมทำตามข้อเรียกร้องนั่นหรือไม่” การรณรงค์กรีนเฟสบุ๊คนี้ได้ขยายไปในหลายประเทศ ทั้งฝรั่งเศส อินโดนีเซีย นิวซีแลนด์ อังกฤษ และตุรกี กลุ่มนักเรียนในสหรัฐอเมริกายังได้ร่วมกระจายเรื่องราวนี้ในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ และบอกเล่าให้เพื่อนร่วมชั้นทราบถึงรอยเท้าคาร์บอนของเฟสบุ๊คที่ขยายใหญ่ขึ้น เร็วๆนี้ กลุ่มนักเรียนจะร่วมรณรงค์ส่งข้อความถึงเจ้าหน้าที่ของเฟสบุ๊คว่าพวกเขาอยากให้ชีวิตบนโลกอินเทอร์เน็ตของพวกเขาเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเสียที (4) “วิสัยทัศน์ของเฟสบุ๊คต่อแนวทางธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตบนสังคมออนไลน์” ฮาเรลกล่าว “เฟสบุ๊คมีโอกาสที่จะเป็นผู้นำโดยการขยายศักยภาพความเป็นผู้นำทางนวัตกรรมไปสู่ด้านสิ่งแวดล้อม และแสดงให้เห็นว่าธุรกิจนี้สามารถเติบโตไปด้วยพลังงานที่สะอาด เหมือนที่ Pepsico และ Proctor and Gamble ได้ให้คำมั่นว่าจะลงมือทำ” บริษัทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่มการใช้ไฟฟ้าอย่างรวดเร็วและถือเป็นหนึ่งในภาคที่มีการขยายตัวของความต้องการใช้ไฟฟ้ามากที่สุด ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตและใช้ป้อนอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียวจัดอยู่ในอันดับที่ 5 เมื่อพิจารณาจากการใช้พลังงานของโลก (5) ในปี 2553 เฟสบุ๊คได้เพิ่มการใช้พลังงานถ่านหิน ไปกับการสร้างศูนย์ข้อมูล 2 แห่ง ในรัฐโอเรกอนและนอร์ธ คาโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้ง 2 แห่งใช้พลังงานจำนวนมหาศาลจากถ่านหิน (6) อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.greenpeace.or.th/face book-unfriendcoal

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ