กรุงเทพฯ--14 มี.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” พร้อมแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่บริษัทมีกระบวนการผลิตที่ครบทุกขั้นตอนและมีประสิทธิภาพ การมีภาระหนี้ในระดับต่ำ การมีคณะผู้บริหารที่มีความสามารถ รวมทั้งการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ได้แก่ Solvay S.A. ของประเทศเบลเยี่ยม บริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะที่ผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ตลอดจนการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นจากผู้ผลิตในประเทศจีน และอัตราส่วนการทำกำไรที่ลดลงอันเป็นผลจากราคาเอธิลีนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทวีนิไทยจะคงความสามารถในการรักษาโครงสร้างต้นทุนให้อยู่ในระดับต่ำต่อไปได้และจะไม่มีปัจจัยที่เป็นผลกระทบสำคัญต่ออุตสาหกรรมพีวีซี โดยทริสเรทติ้งคาดว่าผู้บริหารของบริษัทจะยังคงดำเนินนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังต่อไปทั้งในระยะปานกลางและระยะยาว
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทวีนิไทยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายโพลีไวนิล คลอไรด์ หรือพีวีซี (Polyvinyl Chloride) ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ โดยมีกำลังการผลิต 210,000 เมตริกตันต่อปี คิดเป็น 26% ของกำลังการผลิตรวมภายในประเทศ บริษัทได้รับการสนับสนุนในการดำเนินงานจากผู้ถือหุ้นหลักอย่างเต็มที่ โดย Solvay ให้ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีและการจำหน่ายสินค้าในตลาดต่างประเทศ บริษัท ปตท. เคมิคอล เป็นผู้จัดหาเอธิลีน และกลุ่มซีพีเป็นหนึ่งในบรรดาลูกค้ารายสำคัญของบริษัท บริษัทมีโรงงานผลิตพีวีซีที่มีกระบวนการผลิตครบทุกขั้นตอนโดยเริ่มจากวัตถุดิบขั้นต้นคือเกลือซึ่งทำให้บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานที่สูงกว่าคู่แข่งที่ใช้วัตถุดิบขั้นกลาง อย่างไรก็ตาม จากการที่ราคาเอธิลีนปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในปี 2549 ซึ่งสูงกว่าราคาพีวีซีเป็นอย่างมาก จึงทำให้อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และหากสถานการณ์ด้านราคายังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ก็จะส่งผลกระทบในทางลบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ส่วนการแข่งขันก็ยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศซึ่งได้รับผลกระทบจากประเทศจีนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ เนื่องจากปริมาณอุปทานพีวีซีจากประเทศจีนมีสูงมากจึงส่งผลกดดันราคาของพีวีซีและทำให้ปริมาณส่งออกพีวีซีไปยังประเทศจีนลดลง
ในปี 2549 สถานะทางการเงินของบริษัทถือว่าแข็งแกร่งแม้จะอ่อนแอกว่าปี 2548 เล็กน้อยก็ตาม การเพิ่มขึ้นของต้นทุนเอธิลีนและการลดการผลิตพีวีซีเนื่องจากการปิดโรงงานเพื่อซ่อมบำรุงมีผลทำให้อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลง อย่างไรก็ตาม ภาระหนี้ที่ลดต่ำลงอย่างมากในช่วง 2 ปีหลังช่วยเสริมให้บริษัทมีสภาพคล่องที่ยังคงสูงอยู่ ในการขยายกำลังการผลิตไวนิล คลอไรด์ โมโนเมอร์ หรือวีซีเอ็ม (Vinyl Chloride Monomer) ของบริษัทนั้น ขณะนี้การก่อสร้างโรงงานแล้วเสร็จสมบูรณ์และคาดว่าจะดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2550 ดังนั้น ในปีนี้จึงคาดว่าบริษัทน่าจะรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นมากจากการจำหน่ายวีซีเอ็มและโซดาไฟ (Caustic Soda) ที่มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น และบริษัทวางแผนจะขยายกำลังการผลิตพีวีซีอีกปีละ 70,000 เมตริกตันภายในปีนี้ โดยมูลค่าเงินลงทุนอยู่ที่ 840 ล้านบาทและคาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในกลางปี 2551