MOVIE: Norwegian Wood

ข่าวบันเทิง Tuesday February 8, 2011 11:24 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--8 ก.พ.--สหมงคลฟิล์ม NORWEGIAN WOOD ประเภท Romantic กำหนดฉาย 17 กุมภาพันธ์ 2011 ความยาว 133 นาที เว็บไซด์ภาพยนตร์ http://www.norway-mori.com/index.html บริษัทจัดจำหน่าย มงคลซีเนม่า อำนวยการสร้าง ชินจิ โอกาว่า (Ping Pong, The Ring 0: Brithday) กำกับ/เขียนบท ตรัน อานห์ ฮุง (The Scent of Green Papaya, Cyclo) นำแสดง เคนอิจิ มัตสึยาม่า (Death Note, L: Change the World) ริงโกะ คิคุจิ (Babel, The Brother Bloom, Shanghai) เคนโกะ โคระ (The Inugamis, Sad Vacation, Sabu) เท็ตสึจิ ทามายาม่า (Nana, Kafoo: Waiting for Happiness) จากบทประพันธ์ของ ฮารุกิ มุราคามิ ที่ตราตรึงอยู่ในใจของใครหลายคน สู่ภาพยนตร์รักโรแมนติก นำแสดงโดย เคนอิจิ มัตสึยาม่า จาก L: Change the World และ ริงโกะ คิคุจิ จาก Babel เนื้อเรื่อง Norwegian Wood คือเรื่องราวของความรัก ความตาย และหัวใจที่แตกสลาย สร้างจากนวนิยายของ ฮารุกิ มุราคามิ ที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 1987 และถูกแปลไปกว่า 33 ภาษาทั่วโลก ถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ครั้งแรกโดย ตรัน อานห์ ฮุง ผู้กำกับที่เคยได้รับรางวัลสิงโตทองคำจาก Cyclo และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จาก The Scent of Green Papaya นำแสดงโดยนักแสดงดาวรุ่ง เคนอิจิ มัตสึยาม่า (Death Note, Detroit Metal City), ริงโกะ คิคุจิ ที่เคยเข้าชิงออสการ์จาก Babel และนักแสดงหน้าใหม่ คิโกะ มิสุฮาระ กรุงโตเกียวในยุค 60 นักศึกษารวมตัวเพื่อประท้วงการทำสงคราม ชีวิตส่วนตัวของ โทรุ วาตานาเบะ ก็อยู่ในความว้าวุ่นเช่นกัน ถึงแม้เขาจะทุ่มเทหัวใจให้กับรักแรกอย่าง นาโอโกะ ผู้หญิงที่เปี่ยมไปด้วยสเน่ห์และความคิด แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาเกิดจากความตายของเพื่อนสนิทเมื่อหลายปีก่อน วาตานาเบะ ใช้ชีวิตโดยได้มีความตายติดตามไปทุกหนทุกแห่ง จนกระทั่ง มิโดริ ผู้หญิงที่เปี่ยมไปด้วยชีวิต มีความมั่นใจในตัวเอง และเป็นเหมือนด้านสว่างของ นาโอโกะ ก้าวเข้ามาในชีวิตเขา วาตานาเบะ จึงต้องเลือกระหว่างความรักในอดีตและชีวิตในอนาคต เกี่ยวกับนวนิยาย เรื่องราวที่พูดถึงความรักและการสูญเสีย วาตานาเบะ ตัวละครนำของ Norwegian Wood หันกลับไปมองชีวิตในช่วงที่เขาเป็นนักศึกษาปีหนึ่งในกรุงโตเกียว พวกเราได้เห็นการพัฒนาความสัมพันธ์ของเขากับผู้หญิงสองคนอย่าง นาโอโกะ ที่มีสเน่ห์แต่มีปัญหาภายในใจ และ มิโดริ ที่เต็มไปด้วยสีสันในชีวิต หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องในฉากหลังของกรุงโตเกียวยุค 60 ช่วงเวลาที่นักศึกษาญี่ปุ่นประท้วงเรื่องสงคราม อย่างไรก็ตาม มุราคามิ บอกว่า Norwegian Wood คือเรื่องราวของความรักที่บริสุทธิ์ที่สุด มุราคามิ เขียนในหนังสือ Norwegian Wood ในการตีพิมพ์ครั้งแรกว่า “นี่คือเรื่องราวของความรัก ผมรู้ว่าคำจำกัดความนี้ถูกใช้กันพร่ำเพรื่อ แต่ผมก็นึกถึงคำที่เหมาะสมกว่านี้ไม่ได้แล้ว" Norwegian Wood ขายได้มากกว่า 10 ล้านเล่มเฉพาะในญี่ปุ่น ถือเป็นข้อพิสูจน์ว่ามันเป็นที่นิยมต่อนักอ่านชาวญี่ปุ่นทุกคน ในขณะที่ยังขายในต่างประเทศอีกกว่า 2.6 ล้านเล่มก็บ่งบอกถึงความเป็นสากล ในปัจจุบัน Norwegian Wood ถูกพิมพ์ขายใน 36 ประเทศทั่วโลก และถูกแปลกว่า 33 ภาษา ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ, ไอสแลนด์, อาราเบี้ยน, อิตาเลียน, เอสโตเนียน, เยอรมัน, คาตาลูน่า, กรีก, โครเอเชียน, สวีดิช, สเปน, เซิร์บ, เชค, เดนนิช, เตอร์กิช, นอร์วิเจี้ยน, ฮังกาเรียน, ฝรั่งเศส, ฮิบรูว์, โปลิช, โปรตุเกส, ลัตเวีย, ลิธัวเนียน, โรมันเนียน, รัสเซีย, จีน, เกาหลี, อินโดนิเซีย, เวียดนาม และ ไทย สารจากผู้กำกับ สำหรับผมแล้ว หัวใจของ Norwegian Wood คือเรื่องราวในชีวิตที่ทุกคนต้องเคยประสบ เช่นแรงปรารถนาที่ไม่ถูกเติมเต็มของวัยรุ่น การประท้วงที่รุนแรง ทางเลือกของชีวิตและความตาย ในหนังสือต้นฉบับนั้นทรงพลังและละเอียดอ่อน มันมีความหลากหลายทางอารมณ์ ทุกอย่างถ่ายทอดด้วยสำนวนโวหารที่งดงาม ผมเชื่อในสัญชาตญาณว่าจะสามารถดัดแปลงหนังสือเล่มนี้ให้เป็นหนังได้ และทำให้หลายคนที่ยังไม่เคยสัมผัส Norwegian Wood ได้เข้าใจถึงความงดงามของมันเป็นครั้งแรก บทสัมภาษณ์ ตรัน อานห์ ฮุง (ผู้กำกับ) คุณรู้จักหนังสือเล่มนี้ได้ยังไง ช่วยเล่าถึงการพัฒนาให้เป็นหนัง ผมเคยอ่านฉบับแปลฝรั่งเศส หลังจากที่มันถูกตีพิมพ์ในญี่ปุ่น ผมรู้สึกประทับใจและต้องการทำให้มันเป็นหนัง แต่ผมแทบจะหมดกำลังใจก่อนแล้วเพราะไม่ได้รับการตอบรับ ก่อนที่ผู้อำนวยการสร้าง ชินจิ โอกาว่า ติดต่อกลับมาหาผม พวกเราเริ่มพูดคุยถึงแนวทางในการดัดแปลง เมื่อผมได้พบกับ ฮารุกิ มุราคามิ เขาก็ขอพวกเราให้เอาบทร่างแรกไปให้เขาดู ผมเขียนบทเสร็จและเอาไปให้ ก่อนที่ มุราคามิ จะส่งคอมเม้นท์กลับมาให้กับผม รวมถึงบทสนทนาที่ไม่มีอยู่ในหนังสือต้นฉบับ ผมจึงนำคอมเม้นท์ของเขามาเขียนเพิ่มในบท ผมเชื่อว่า มุราคามิ น่าจะรู้สึกว่าผมเข้าใจถึงแก่นแท้ของหนังสือ และช่วยสนับสนุนให้พวกเราสามารถทำมันให้เป็นจริง องค์ประกอบไหนในหนังสือที่ทำให้คุณประทับใจ Norwegian Wood เป็นหนังสือที่ยอดเยี่ยม ที่ถ่ายทอดสภาวะจิตใจของวัยรุ่นผ่านทางประสบการณ์ของตัวละคร หนังสือเล่มนี้พูดถึงคนที่มองหาสิ่งที่มากำหนดชะตาชีวิต เมื่อพวกเขาตกหลุมรักและต้องเผชิญหน้ากับผลกระทบทางอารมณ์ เหมือนกับที่ มุราคามิ พูดเอาไว้ว่า ตัวละครเหล่านี้อยู่ในความสัมพันธ์ที่อันตราย แต่แรงปรารถนาบนความเจ็บปวดก็เป็นสิ่งที่น่าดึงดูด ผมต้องการที่จะสร้างสมดุลให้กับคนดู ทำให้ความรักเป็นอะไรที่มากกว่าการปรนเปรอความสุข อะไรคือความท้าทายในการเขียนบทภาพยนตร์ เหตุการณ์ในหนังสือเริ่มต้นด้วยภาพเครื่องบินลงจอดที่สนามบินฮัมบูร์ก เรื่องราวที่เกิดขึ้นถูกเล่าผ่าน วาตานาเบะ ที่มองย้อนกลับไปหาอดีต แต่ผมต้องการถ่ายทอดความเจ็บปวดของบาดแผลที่ยังสดใหม่ นั้นเป็นเหตุผลที่ผมเขียนบทตามลำดับเหตุการณ์จากอดีตสู่ปัจจุบัน นี่คือการตัดสินใจที่ลำบากที่สุดในการเขียนบท คุณตั้งใจตั้งแต่แรกเลยหรือไม่ว่าจะใช้นักแสดงญี่ปุ่นและถ่ายทำในประเทศญี่ปุ่น การใช้นักแสดงที่ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นหรือการถ่ายทำนอกญี่ปุ่นไม่เคยอยู่ในความคิดของผมเลย เพราะผมรักวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ของพวกเขา และมันก็ถูกถ่ายทอดอย่างชัดเจนในหนังสือ แน่นอนว่ามันเป็ยความท้าทายที่ผมต้องทำงานร่วมกับนักกแสดงที่พูดภาษาญี่ปุ่น แต่ผู้อำนวยการสร้าง โอกาว่า ก็เข้ามาช่วยเหลืออย่างเต็มที่ การคัดเลือกนักแสดงของคุณมีกฏเกณฑ์ยังไง สำหรับผมแล้วการคัดเลือกนักแสดงจะต้องเกี่ยวกับบุคลิกภาพมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่เคยแสดงหนังมาก่อน ที่สำคัญที่สุดคือคนคนนั้นจะต้องสอดคล้องกับมุมมองของผู้อ่านทั้งโลก ว่าเขาและเธอเหมาะสมกับตัวละครนั้นๆหรือไม่ ขั้นต่อไปก็คือการค้นหาว่านักแสดงมีศักยภาพทางการแสดงแค่ไหน ทำไมคุณถึงเลือก เคนอิจิ มัตสึยาม่า เข้ามารับบทเป็น วาตานาเบะ ครั้งแรกที่ผมเห็นรูปถ่ายของเขา บอกตามตรงว่าผมยังไม่แน่ใจนัก แต่ก็มีบางอย่างที่พิเศษในตัวเขา ผมเลยตัดสินใจเรียกเขาเข้ามาทดสอบ ทันทีที่ได้พบกับ เคนอิจิ ผมก็คิดว่าไม่มีนักแสดงคนไหนที่เหมาะกับบท วาตานาเบะ กว่าเขา เพราะบุคลิกของเขาถูกถ่ายทอดจากลักษณะภายนอกได้อย่างเต็มที่ เขาเป็นนักแสดงที่มีความเป็นธรรมชาติที่สุด แล้ว ริงโกะ คิคุจิ ในบท นาโอโกะ ล่ะ ผมเคยดูการแสดงของเธอใน Babel และไม่คิดว่าเธอจะเหมาะสมกับตัว นาโอโกะ แต่เธอก็ยืนยันที่จะเข้ามาทดสอบบท ซึ่งเธอก็พิสูจน์ว่าผมคิดผิดจากการแสดงของเธอ ริงโกะ สามารถถ่ายทอดลักษณะพิเศษของผู้หญิงที่มีความละเอียดอ่อน ผมมารู้ทีหลังว่าเธอเพิ่งรับบทเป็นนักฆ่าโรคจิตใน Map of the Sounds of Tokyo ก่อนที่จะสลับคราบมารับบทเป็นผู้หญิงที่เปี่ยมไปด้วยสเน่ห์ นี่คือเครื่องยืนยันและทำให้ผมนับถือว่าเธอเป็นนักแสดงขนานแท้ ทำไมคุณถึงเลือก คิโกะ มิสุฮาระ มารับบทเป็น มิโดริ ผมมีช่วงเวลาที่ยาวนานในการคัดเลือกคนที่มารับบทเป็น มิโดริ ผมได้พบกับนักแสดงมากมายในช่วงการคัดเลือกนักแสดง แต่ก็มี คิโกะ คนเดียวที่ทำให้ผมประทับใจ เพราะทีมงานทุกคนรู้สึกถึงความรู้สึกอบอุ่นจากเธอ และความอบอุ่นก็ถือเป็นแก่นและองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของตัวละครอย่าง มิโดริ ผมเลยตัดสินใจเลือกเธอเข้ามา คุณมีวิธีรับมือกับม่านของภาษาและวัฒนธรรมในการถ่ายทำทีมงานญี่ปุ่นอย่างไร ถึงแม้ว่าผมจะพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะถ่ายทอดแต่ละฉากออกมาให้ดี ผมให้นักแสดงแสดงหลายเทคจนกระทั่งผมรู้สึกว่าใช่ โดยเฉพาะฉากที่สำคัญ ผมขอความเห็นจากผู้อำนวยการสร้าง โอกาว่า ถึงน้ำเสียงของนักแสดงก่อนที่จะตัดสินใจว่าถ่ายเพิ่มดีหรือไม่ มันเป็นประสบการณ์ใหม่ในการทำงานกับภาษาที่คุณไม่เข้าใจ บทสนทนาจะมีเสียงคล้ายกับดนตรีที่มีเสน่ห์น่าดึงดูดและชวนให้ค้นหา แล้วความท้าทายในการหาสถานที่ถ่ายทำล่ะ ตอนที่ผมหาสถานที่ถ่ายทำ ผมไม่ต้องการเลียนแบบภาพจากหนังสือทั้งหมด ผมอยากได้สถานที่ที่ถ่ายทอดได้ตามอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร เช่นฉากในทุ่งหญ้าที่จะต้องงดงามและน่าจดจำ ในหนังสือ วาตานาเบะ เดินทางไปถึงทุ่งหญ้าในช่วงฤดูใบไม้ร่วง แต่เพราะสถานที่ที่เราเลือก หญ้ามันสูงเกินกว่าที่นักแสดงจะเดินฝ่าเข้าไปได้ พวกเราเลยต้องปรับเปลี่ยนฤดูกาลเพื่อให้ภาพดูสวยงามมากขึ้น ทำไมคุณถึงเลือก หลี่พินปิง เป็นผู้กำกับภาพ เพราะว่าภาพของเขาสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้ ซึ่งผมคิดว่าเป็นแก่นที่สำคัญที่สุด เขาสามารถจับภาพที่งดงามและน่าจดจำ อย่างไรก็ตามผมก็ไม่อยากให้ภาพของหนังเป็นเหมือนภาพวาดที่สวยแต่จับต้องไม่ได้ แต่อยากให้มันช่วยส่งเสริมเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำไมคุณถึงเลือก จอห์น กรีนวู้ด เข้ามาทำเพลงประกอบ เมื่อผมได้ดู There Will Be Blood ที่เขาทำเพลงประกอบ ผมรู้สึกประทับใจมาก ผลงานของเขามีทั้งความร่วมสมัยและคลาสสิก และผมก็ประทับใจในการผสมผสานของเขา ดนตรีของเขามีความซับซ้อนและหรือไม่ง่ายแก่การจดจำ แต่มันก็สะท้อนไปถึงจิตวิญญาณของคนดูที่เติบโตขึ้น ตัวละครในเรื่องต้องพบกับความขัดแย้งในจิตใจ ต้องพบกับแผลที่บาดลึกและทางเลือกที่เจ็บปวด ผมต้องการให้เพลงประกอบมีความลึกซึ้งและถ่ายทอดมันออกมาอย่างเต็มที่ ผลงานที่ผ่านมาของคุณมีธีมเดียวกัน นั้นก็คือ "ความงามภายใต้บาดแผล" คุณคิดว่า Norwegian Wood มีลักษณ์เดียวกันหรือไม่ ผมเชื่อว่ามันเป็นไปได้เสมอที่จะพบความงามภายใต้ความเจ็บปวด หนึ่งในประเด็นหลักของศิลปะก็คือความงามที่เกิดขึ้นพร้อมกับความเจ็บปวด เป้าหมายของผมคือการถ่ายทอดให้สมจริงและเข้มข้น เพราะความงามบนความเจ็บปวดนั้นอยู่ในจิตวิญญาณและความอดทนของมนุษย์ ผมต้องการให้ผู้ชมสัมผัสกับมันได้มากที่สุด บทสัมภาษณ์ เคนอิจิ มัตสุยาม่า (รับบทเป็น วาตานาเบะ) Norwegian Wood เป็นงานเขียนที่คลาสสิกในโลกวรรณกรรม เป็นตำนานของความรักและความสูญเสีย ที่ถูกเล่าจากมุมมองของตัวละครนำอย่าง วาตานาเบะ คุณรู้สึกยังไงเมื่อพบว่าตัวเองได้รับบทนำ ผู้คนมากมายพยายามและผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่ามากว่าทศวรรษ ในการดัดแปลงเรื่องราวใน Norwegian Wood ให้เป็นภาพยนตร์ ผมจึงรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับบทนำในโปรเจ็คนี้ ผู้กำกับ ตรัน อานห์ ฮุง ยังได้มอบแนวทางให้กับผมและทำให้มันเป็นงานที่ไม่ยากมากนัก วาตานาเบะ เป็นตัวละครที่เลือกใช้คำพูด ทำให้ผมรู้สึกว่ามีส่วนคล้ายกับตัวเองเหมือนกัน วาตานาเบะ ถูกแบ่งระหว่างอดีตและอนาคต เขาไม่สามารถฉีกตัวเองออกจากรักแรกอย่าง นาโอโกะ ในขณะที่พยายามสร้างอนาคตกับ มิโดริ มันยากไหมในการถ่ายทอดความสัมพันธ์กับตัวละครหญิงทั้งสอง ผมเข้าใจถึงสถานการณ์ของ วาตานาเบะ ที่ถูกลากไปคนละทิศทาง ชีวิตและความตาย ในฉากระหว่างผมกับ นาโอโกะ มันมีความไม่สอดคล้องกันของสิ่งที่พูดกับสิ่งที่รู้สึก มันเป็นเรื่องที่ทรมานใจมาก แต่ในฉากระหว่างผมกับ มิโดริ ผมก็รู้สึกว่าหัวใจของ วาตานาเบะ เปี่ยมไปด้วยความสุขที่ได้อยู่กับเธอ ประสบการณ์ในการทำงานกับ ตรัน อานห์ ฮุง เป็นยังไงบ้าง มีความแตกต่างไหมกับผู้กำกับคนอื่นๆ เขาคือผู้กำกับที่พยายามมองหาความเป็นไปได้ตลอดเวลา เขาไม่ได้ตัดสินใจเพราะความประทับใจอย่างเดียว แต่เขาจะเปิดกว้างมองหาสิ่งที่ดีกว่าในอนาคต เขาดูแลทั้งการกำกับภาพ การแสดง ภาพนิ่ง เสียง ในแนวทางเดียวกันหมด เขาเป็นผู้กำกับที่มีความสามารถที่สุดที่ผมเคยร่วมงานมา เพราะ ตรัน อานห์ ฮุง ได้ใส่มุมมองที่แตกต่างเข้าไปใน Norwegian Wood คุณคิดว่านักอ่านทั่วโลกพร้อมหรือยังกับการตีความใหม่ในสิ่งที่พวกเขารัก แน่นนอนครับ นี่คือ Norwegian Wood ที่ทุกคนต้องยอมรับ ผมเชื่อมั่นมันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ผู้คนทั่วโลกต้องชื่นชม โดยเฉพาะมุมมองใหม่ที่ถูกใส่เข้ามา แต่ในขณะเดียวกันมันก็ยังซื่อตรงต่อต้นฉบับอย่างแน่นอน บทสัมภาษณ์ ริงโกะ คิคุจิ (รับบทเป็น นาโอโกะ) เมื่อได้ยินว่าจะมีการสร้างหนังเรื่อง Norwegian Wood คุณรู้สึกยังไงเมื่อถูกคัดเลือกเข้ามาแสดง และคุณคุ้นเคยกับตัวละครอย่าง นาโอโกะ ก่อนที่จะเข้ามารับบทหรือไม่ ฉันรู้สึกดีใจที่ได้รับบท ฉันรัก นาโอโกะ มาตั้งแต่อ่านหนังสือ โดยประสบการณ์แรกของฉันกับผลงานของ มุราคามิ ก็คือ Norwegian Wood ตั้งแต่อายุ 19 ฉันถูกดึงดูดจากความเปราะบาง อันตราย แต่ก็ยังงดงามของ นาโอโกะ ที่ทำให้ฉันรู้สึกประทับใจ ในช่วงวัยรุ่นฉันใช้ชีวิตอยู่บนความไม่แน่นอน และนั้นก็ทำให้ฉันยิ่งเชื่อมถึงกับเธอมากขึ้น และเธอก็ยังอยู่ในใจฉันมาจนถึงบัดนี้ มันมีบางสิ่งในความรู้สึกของ นาโอโกะ ที่ฉันไม่เข้าใจในช่วงวัยรุ่น แต่มาเข้าใจในระดับที่ลึกมากขึ้นตอนมารับบทนี้ มันเริ่มงอกเงยภายในตัว ฉันต้องการโอกาสในการรับบทเป็นเธอ ในการทดสอบบทฉันมีโอกาสได้พูดบทสนทนาจากฉากที่น่าจดจำที่สุดในหนังสือ โดยเป็นฉากที่ นาโอโกะ พูดกับ วาตานาเบะ เรื่องบ่อน้ำ ฉันจำได้ว่าความรู้สึกของตัวเองถูกเติมเต็มจากการได้พูดถึงฉากนั้น นาโอโกะ เป็นตัวละครที่มีความซับซ้อน เธอได้รับผลกระทบทางใจกับการตายของรักแรก และใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อเปลี่ยนตัวเองตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา คุณมีวิธีการในการถ่ายทอดความรู้สึกนี้ออกมายังไง ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอ ฉันอ่านหนังสืออีกรอบก่อนเข้ามาแสดงเรื่องนี้ และได้พบกับเบาะแสที่มีประโยชน์มากมาย มันถูกอ่านโดยคนทั่วโลก ฉันเลยรู้สึกถึงความรับผิดชอบในการเข้ามารับบทนี้ เพราะเราทุกคนต่างก็มีไอเดียที่แตกต่างกันไปในตัวของ นาโอโกะ มันสำคัญตรงที่ฉันต้องรับบทนี้ด้วยความซื่อสัตย์ และหนทางเดียวที่ฉันทำได้ก็คือการแสดงเป็น นาโอโกะ ตามที่ฉันรู้สึกอย่างเต็มความสามารถ เพราะด้วยจุดมุ่งหมายนั้นแล้ว ฉันก็ได้สร้างบางอย่างที่ทรงพลัง นาโอโกะ ได้ทะลุผ่านเข้าไปอยู่ภายในใจของฉัน ความรู้สึกสูญเสียมีแรงมหาศาล และมันทำให้ฉันควบคุมทุกสิ่งได้ยากขึ้น แต่ฉันก็ปล่อยให้มันซึมผ่านไปทั่วร่างกาย นาโอโกะ มีโลกส่วนตัวใบเล็กๆของตัวเอง เธอไม่ยอมปล่อยให้ใครเข้ามาข้างใน กระทั่งเธอเองก็ไม่พบทางออกจากโลกใบนี้ ฉันเชื่อว่าเมื่อนาโอโกะ สูญเสีย คิซุกิ เธอก็ขังตัวเองและโยนกุญแจทิ้งไป ฉันเลยพยายามที่จะถ่ายทอดความรู้สึกของการปลีกตัวออกจากสังคม คุณคิดว่าธรรมชาติของความสัมพันธ์ นาโอโกะ กับ วาตานาเบะ และ นาโอโกะ กับ คิซุกิ แตกต่างกันยังไง ในชีวิตจะมีช่วงเวลาแห่งความสับสนหรือกดดัน และคนที่อยู่กับคุณในช่วงเวลานั้นจะเป็นเหมือนเป็นเพื่อนคนเดียวของคุณ เพราะว่าพวกเราได้รับประสบการณ์แบบเดียวกัน เหมือนกับสหายร่วมรบในสงคราม เปรียบได้กับแม่น้ำสายใหญ่ที่ นาโอโกะ และ วาตานาเบะ อยู่ฝั่งเดียวกัน ในขณะที่ มิโดริ ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ถึงแม้กระแสน้ำจะไหลแรงแต่ วาตานาเบะ ตัดสินใจที่จะข้ามไปหาเธอ นาโอโกะ ไม่สามารถข้ามไปโดยปราศจากเขาได้ และท้ายที่สุดแล้วเธอก็ก้าวถอยออกมาจากริมน้ำมากกว่าเดิม แต่ วาตานาเบะ ก็เป็นเพียงคนเดียวที่ให้ความเชื่อมั่นว่า การที่จะข้ามแม่น้ำไปนั้นต้องพวกเขาต้องร่วมมือกัน นี่คือการเปรียบเทียบตามความเข้าใจของฉัน การทำงานร่วมกับผู้กำกับ ตรัน อานห์ ฮุง เป็นยังไงบ้าง ฉากที่ นาโอโกะ อธิบายกับ วาตานาเบะ ว่าทำไมเธอถึงไม่ได้นอนกับ คาซุกิ น่าทึ่งมาก นี่คือเทคที่ยาวนานแบบไม่มีตัดต่อ การถ่ายทอดฉากแบบนี้จะต้องอาศัยฝีมือที่ทุกคนเชื่อใจได้ คุณเห็นด้วยไหม สิ่งแรกเลยคือฉันเชื่อใจในตัวผู้กำกับและทีมงาน ทีมงานทุกคนต่างช่วยกันเพื่อเตรียมฉากนี้ เพราะฉันต้องนอนเพื่อถ่ายทำฉากที่ยาวขนาดนี้ ในขณะเดียวกันเราก็ยังถ่ายทำฉากที่เดินทางในทุ่งหญ้า ทุกอย่างต้องเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งเกิดขึ้นเพียง 30 นาทีต่อวัน ความเชื่อมั่นที่พวกเขามีในตัวฉันและ เคนอิจิ ทำให้เราสามารถมีสมาธิกับฉากนี้ได้ ในฉากนั้นกระแสของอารมณ์มีมากกว่าที่ฉันจินตนาการไว้ มันอาจเกิดขึ้นเพราะนี่เป็นเทคยาวและไม่มีการตัดต่อ อารมณ์ที่เกิดขึ้นจึงถูกปลดปล่อยแบบอย่างอิสระ ฉันคิดว่าเมื่อคุณทำอะไรให้สำเร็จจากสิ่งที่ไม่มีการควบคุม มันก็จะดูเป็นธรรมชาติที่สุด ฉันคิดว่าผู้กำกับเข้าใจดีว่าฉากนี้จะต้องออกมาอย่างที่ทุกคนคิดตั้งแต่แรก การได้แสดงหนังอย่าง Babel, The Brother Bloom และ Shanghai คุณกลายเป็นนักแสดงญี่ปุ่นที่ถูกต้องการมากที่สุด ในขณะที่หนังสือเล่มนี้ก็ขายดีไปทั่วโลก คุณคิดว่าทุกคนจะยอมรับเรื่องราวนี้ในมุมมองใหม่หรือเปล่า ก็หวังว่าคงเป็นเช่นนั้น ในความคิดของฉันการคิดค้นสิ่งใหม่ๆก็ควรได้รับการจดจำ เพราะยุคปัจจุบันมันเป็นเรื่องที่เสี่ยงในการทำอะไรใหม่ขึ้นมา และการทำมันด้วยความมั่นใจเป็นเรื่องที่น่ายกย่อง ฉันดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ และฉันก็รู้สึกขอบคุณทุกคนที่ให้โอกาสฉัน ทั้งผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้าง ฉันหวังว่าหนังเรื่องนี้จะได้รับการตอบรับที่อบอุ่นจากผู้ขมทุกคน บทสัมภาษณ์ คิโกะ มิสุฮาระ (รับบทเป็น มิโดริ) คุณรู้สึกยังไงเมื่อได้ยินว่า Norwegian Wood ถูกทำให้เป็นหนัง แล้วเมื่อคุณถูกคัดเลือกให้แสดงเรื่องนี้ คุณรู้จัก มิโดริ ก่อนที่จะเข้ามารับบทนี้หรือไม่ ฉันรู้จักหนังสือก่อนที่จะเข้ามาทดสอบบท แต่ฉันไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน ฉันเริ่มที่จะจินตนาการว่าตัวเองเป็น มิโดริ ก็ตอนที่เริ่มอ่านหนังสือ ฉันรู้สึกมีความสุขเมื่อรู้ว่าตัวเองได้รับเลือก ในขณะเดียวกันก็รู้สึกตื่นเต้นกับความท้าทายที่ตัวเองต้องเผชิญ แต่ฉันก็มีความศรัทธาในตัวผู้กำกับและต้องการทำมันให้ดีที่สุด คุณคิดว่า มิโดริ คือผู้หญิงที่อยู่ด้านตรงข้ามกับ มาโอโกะ หรือเปล่า ฉันคิดว่า มิโดริ เหมือนกับแสงสว่างในเรื่องนี้ แน่นอนที่ฉันพยายามเอาแก่นของตัวละครในหนังสือมาใช้ในการแสดง แต่ก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำ ฉันก็ได้นั่งคุยกับผู้กำกับและพูดคุยประเด็นเกี่ยวกับตัวละครนี้ ท้ายที่สุดแล้ว มิโดริ ก็เป็นตัวละครที่ถูกกรองผ่านมุมมองของผู้กำกับและฉัน แล้วการทำงานร่วมกับ ตรัน อานห์ ฮุง เป็นยังไงบ้าง แนวทางในการสร้างแรงบันดาลใจของเขาทำให้คุณรับบทเป็น มิโดริ ที่เข้มแข็งขึ้นหรือเปล่า นี่คือการแสดงหนังครั้งแรกของฉัน และมันก็เป็นประสบการณ์แรกของฉันในการทำงานในกองถ่าย พวกเขามีการซักซ้อมกันหลายครั้งก่อนถ่ายทำ เขาได้แนะแนวทางด้วยการบอกให้ฉันถ่ายทอดอารมณ์ให้หลากหลาย การเคลื่อนไหวของร่างกายและรายละเอียดปลีกย่อย ซึ่งทั้งหมดก็ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับฉันมากขึ้น เมื่อ มิโดริ ปรากฏตัวครั้งแรกในหนัง มันเป็นฉากที่น่ารักและน่าจดจำ คุณคิดว่าทั้งการแต่งกาย เพลงประกอบ งานสร้าง และทุกอย่างช่วยเสริมสร้างตัวตนของ มิโดริ หรือไม่ ทุกอย่างในหนังเรื่องนี้งดงามมาก การได้เห็นตัวเองใน Norwegian Wood ทำให้ฉันมีความสุข ทั้งเพลงประกอบ เครื่องแต่งกาย สีสัน การได้เห็นทุกองค์ประกอบรวมกันเป็นหนึ่งเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ และฉันรู้สึกถูกดึงดูดโดยทุกสิ่ง Norwegian Wood ขายดีไปทั่วโลก คุณคิดว่าทุกคนจะยอมรับเรื่องราวนี้ในมุมมองใหม่หรือเปล่า แน่นอนค่ะ มีแฟนๆที่ทุ่มเทใจให้กับ Norwegian Wood ทั่วโลก แต่ละคนก็มีมุมมองกับมันที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตามNorwegian Wood ของ ตรัน อานห์ ฮุง ก็เป็นเวอร์ชั่นที่มีความงดงามจนแทบลืมหายใจ แต่สัมผัสที่พิเศษของเขาก็ทำให้มันเป็นเหมือนภาพวาดที่สวยงามเรียงร้อยต่อกัน และจะทำให้มุมมองของคุณไปในทิศทางเดียวกับหนังเรื่องนี้ ประวัติ ฮารูกิ มุราคามิ ฮารูกิ มุราคามิ เป็นนักเขียนและนักแปลร่วมสมัยชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ผลงานของเขาถูกนำไปแปลแล้วกว่า 33 ภาษา และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักอ่านทั่วโลก เขาเกิดที่จังหวัดเคียวโตะ ประเทศญี่ปุ่นในปีค.ศ. 1949 แต่โตที่เมืองโกเบ พ่อและแม่ของ มุราคามิ มีอาชีพเป็นครูสอนวิชาวรรณกรรมญี่ปุ่น ชีวิตในวัยเด็กของเขานั้นได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจากตะวันตก โดยเฉพาะด้านดนตรีและวรรณกรรม เขาเติบโตขึ้นมาด้วยการอ่านวรรณกรรมของนักเขียนตะวันตกทุกประเภท ทำให้ลักษณะงานเขียนของเขามีความแตกต่างจากนักเขียนญี่ปุ่นคนอื่นๆ โดยงานเขียนญี่ปุ่นส่วนใหญ่นั้นจะให้ความสำคัญกับความงามของภาษา ทำให้เกิดรูปแบบการเขียนที่เข้มงวดและเย็นชา แต่ในขณะที่งานเขียนของ มุราคามิ นั้นกลับมีรูปแบบที่เป็นอิสระ มุราคามิ สำเร็จการศึกษาวิชาการละคร ภาควิชาวรรณคดี จากมหาวิทยาลัยวาเซดะในมหานครโตเกียว ซึ่งเป็นที่ที่เขาได้พบกับ โยโกะ ภรรยาของเขา หลังจากสำเร็จการศึกษา มุราคามิ ได้เปิดบาร์เล็ก ๆ ที่โตเกียวชื่อว่า ปีเตอร์ แคท (Peter Cat) โดยเล่นดนตรีแนวแจ๊สอยู่เป็นเวลา 7 ปี ซึ่งส่งผลในดนตรีได้เข้าไปมีบทบาทสำคัญในงานเขียนของ มุราคามิ มุราคามิ เริ่มเขียนนิยายเรื่องแรก Hear the Wind Sing ในปี 1979 เมื่อเขามีอายุได้ 29 ปี โดยได้รับแรงบันดาลใจอย่างจากการบรรยากาศในการนั่งชมการแข่งขันเบสบอลรายการหนึ่ง เขาใช้เวลาเขียนนวนิยายเรื่องนี้อยู่สามเดือน โดยใช้เวลาว่างหลังจากปิดร้านในการเขียน หลังจากเขียนเสร็จเขาได้ส่งผลงานเรื่องนี้เข้าประกวดและก็ได้รับรางวัลที่หนึ่ง ความสำเร็จตั้งแต่เรื่องแรกก็กลายเป็นแรงผลักดันให้เขาเขียนหนังสือเรื่อยมา โดยในปีถัดมาเขาได้ตีพิมพ์นิยายชื่อ Pinball, 1973 และ A Wild Sheep Chase ในปี 1982 ทั้งหมดก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม นอกจากนี้ หนังสือทั้งสามเรื่องยังได้รวมตัวกันขึ้นเป็นไตรภาคที่มีชื่อว่า Trilogy of the Rat โดยมีตัวละครที่เชื่อมโยงทั้งสามเรื่องเข้าด้วยกัน ในปี 1985 มุราคามิ ตีพิมพ์ผลงานชื่อ Hard-Boiled Wonderland and the End of the World ซึ่งเริ่มแสดงออกถึงองค์ประกอบสุดโต่งเหนือจินตนาการ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและปรากฏแต่ในงานเขียนของเขา มุราคามิ เริ่มมาโด่งดังในระดับชาติในปี 1987 เมื่อเขาตีพิมพ์กับหนังสือเรื่องใหม่ที่ชื่อ Norwegian Wood ซึ่งมียอดจำหน่ายกว่าล้านเล่มเฉพาะในญี่ปุ่น ทำให้ มุราคามิก ลายเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในประเทศ ในปี 1986 มุราคามิตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วยุโรป ก่อนที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ สหรัฐอเมริกา ระหว่างที่ มุราคามิ ใช้ชีวิตเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยในอเมริกานั้น เขาก็มีผลงานออกมาอีกสองเรื่อง คือ Dance, Dance, Dance และ South of the Border, West of the Sun ต่อมาในปี 1994 มุราคามิ ได้ส่งผลงานชื่อ The Wind-Up Bird Chronicle ออกสู่สายตานักอ่าน และได้รับการยกย่องว่าเป็นนวนิยายเรื่องที่ดีที่สุดของเขา ต่อมาผลงานนวนิยายขนาดสั้นชื่อ Sputnik Sweetheart ได้ถูกตีพิมพ์ในปี 1999 และผลงาน Kafka on the Shore ถูกตีพิมพ์ในปี 2002 และถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 2005 โดยผลงานแปลเป็นภาษาอังกฤษจากผลงานเรื่องล่าสุดของเขาที่ชื่อ After Dark ก็ออกวางจำหน่ายในปี 2007 นอกจากนี้เขายังมีผลงานรวมเรื่องสั้น ที่ผสมผสานระหว่างผลงานเรื่องสั้นที่เขาเขียนในช่วงปี 80 กับผลงานเรื่องสั้นล่าสุดตีพิมพ์ภายใต้ชื่อ Blind, Willow, Sleeping Woman ก็ได้ออกวางจำหน่ายในเดือนสิงหาคม 2006 มูราคามิ ได้ตีพิมพ์ What I talk about when I talk about running ซึ่งเป็นความเรียงกึ่งบันทึก เมื่อปี 2007 โดยได้แปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 2008 และเป็นภาษาไทยในปี 2009 ในชื่อ "เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง" ฮารูกิ มุราคามิ ได้ออกผลงานนวนิยายเรื่องยาวอีกครั้งในปี 2009 ที่ชื่อ 1Q84 โดยมีแผนที่จะออกทั้งหมด 3 เล่ม โดยเล่ม 1 และเล่ม 2 ออกวางจำหน่ายฉบับภาษาญี่ปุ่นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2009 ส่วนเล่มที่ 3 ออกจำหน่ายในเดือนเมษายน 2010 ส่วนฉบับแปลภาษาอังกฤษของ1Q84 เล่ม 1-2 นั้นมีกำหนดการวางจำหน่ายในเดือนกันยายน 2011 ทีมนักแสดง เคนอิจิ มัตสึยาม่า (รับบทเป็น วาตานาเบะ) เคนอิจิ เริ่มต้นอาชีพด้วยงานโฆษณา ก่อนที่จะมีผลงานหนังเรื่องแรกที่ชื่อ Bright Future (2002) กำกับโดย คิโยชิ คูโรซาว่า ก่อนที่จะรับบทนำในปี 2003 เป็นครั้งแรกในเรื่อง Winning Pass กำกับโดย ชินอิชิ นากาตะ ในปี 2005 เขาปรากฏตัวในหนังบล็อกบัสเตอร์หลายเรื่อง เช่น Nana กำกับโดย เคนทาโร่ โอตานิ และเรื่อง Otoko-tachi no Yamato กำกับโดย จุนยะ ซาโต้ เขามีความสามารถพิเศษที่จะรับบทไหนก็ได้ โดยแสดงตั้งแต่บทนักเรียนไฮสคูล นักดนตรี หรือทหารเรือ โดยเฉพาะในเรื่อง Otoko-tachi no Yamato ที่เขารับบทชายหนุ่มที่ต้องดิ้นรนในช่วงสงคราม ผลงานหนังเรื่องอื่นๆของมัตซึยามะ ได้แก่ เรื่อง Furyo shonen no yume (2005) กำกับโดย จุนจิ ฮานาโดะ, Custom Made 10.30 (2005) กำกับโดยอานิกิ, Linda Linda Linda (2005) กำกับโดย อะซูฮิโร่ ยามาชิตะ และรวมถึงบทบาทที่สร้างชื่อให้กับเขาอย่าง แอล ในเรื่อง Death Note (2006) และภาคต่อที่เขารับบทนำอย่าง L: Change the World (2008) โดย เคนอิจิ จะมีผลงานในหนังแอ็คชั่น-ไซไฟเรื่องเยี่ยมประจำปี 2011 เรื่อง Gantz ริงโกะ คิคุจิ (รับบทเป็น นาโอโกะ) ริงโกะ คิคุจิ เริ่มต้นอาชีพนางแบบและนักแสดงตั้งแต่วัยรุ่น โดยผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอคือ Ikitai ในปี 1999 จากนั้นเธอก็มีผลงานโฆษณาและหนังตามมาอีกมากมาย เช่น The Reason (2004), The Taste of Tea (2004), Funky Forest (2005), Portrait of the Wind (2005), Arch Angels (2006) และ Tokyo Serendipity (2007) แต่ผลงานที่ทำให้ ริงโกะ โด่งดังขึ้นมาก็คือ Babel ของผู้กำกับ อเลฮานโดร กอนซาเลซ อินาร์ริตู หนังฮอลลิวู้ดเรื่องแรกของเธอ ซึ่งการแสดงอันเปี่ยมพลังในบทเด็กสาวหูหนวก ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลออสการ์ ในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมประจำปี 2006 หลังจากนั้นเธอก็มีผลงานคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น The Brothers Bloom (2008) ที่ร่วมแสดงโดย เอเดรี้ยน โบรดี้ และ ราเชล ไวซ์, Shanghai นำแสดงโดย จอห์น คูแซ็ค, กงลี่ และ โจวเหวินฟะ รวมถึง Map of the Sounds of Tokyo (2009) ของผู้กำกับ อิสซาเบล คัวเซต์ คิโกะ มิสุฮาระ (รับบทเป็น มิโดริ) เกิดในปี 1990 ที่รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา แต่มาเติบโตที่เมืองโกเบ มิสุฮาระ ได้ลงปกนิตยสาร Seventeen ตั้งแต่อายุ 13 ก่อนที่ในปี 2007 ก็ได้ลงปกนิตยสาร ViVi เธอเป็นนางแบบในงาน Tokyo Girls Collection ซึ่งถูกจัดขึ้นทุกสองปีและมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 30,000 คน ทำให้ชื่อของ มิสุฮาระ เป็นที่รู้จักในวงการแฟชั่น Norwegian Wood ถือเป็นผลงานการแสดงเรื่องแรกของเธอ เรย์กะ คิริชิม่า (รับบทเป็น เรย์โกะ) ผลงาน >>> A Strager of Mine, Inju: The Beast in the Shadow เคนโกะ โคระ (รับบทเป็น คิซุกิ) ผลงาน >>> The Inugamis, Sad Vacation, Sabu เท็ตสึจิ ทามายาม่า (นากะซาว่า) ผลงาน >>> Nana, Kafoo: Waiting for Happiness ประวัติทีมสร้าง ตรัน อานห์ ฮุง (ผู้กำกับ / เขียนบท) ตรัน อานห์ ฮุง คือผู้กำกับเชื้อสายเวียดนาม ที่ลี้ภัยทางการเมืองพร้อมกับครอบครัวไปอยู่ในประเทศฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 1975 ที่นั้นเขาได้เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนสอนทำภาพยนตร์ และเพียงผลงานเรื่องแรกของเขาอย่าง The Scent of Green Papaya (1992) ก็ทำให้เขาได้รับรางวัล Camera d’Or จากเทศกาลหนังเมืองเวนิสครั้งที่ 46 รวมถึงการได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก Cesar Awards และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ในสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม ภาพยนตร์เรื่องที่สองของเขา Cyclo (1995) ก็ได้รับรางวัลสิงโตทองคำจากเทศกาลหนังเมืองเวนิส ครั้งที่ 52 โดยผลงานเรื่องต่อมาของเขาก็มีอย่าง The Vertical Ray of the Sun (2000) และล่าสุดในเรื่อง I Come With the Rain (2009) ที่นำแสดงโดย จอช ฮาร์ทเน็ตต์, ทาคุยะ คิมูระ และ หยูเหวินเล่อ ชินจิ โอกาว่า (ผู้อำนวยการสร้าง) ผลงาน >>> Ping Pong, The Ring 0: Birthday, Honey & Clover จอห์น กรีนวู้ด (ผู้แต่งเพลง) ผลงาน >>> There Will Be Blood หลี่พินปิง (ผู้กำกับภาพ) ผลงาน >>> In the Mood for Love, Air Doll, The Sun Also Rises
แท็ก ภาพยนตร์   Movie:  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ