กรุงเทพฯ--19 ก.ค.--กรมการค้าต่างประเทศ
อียูให้สิทธิพิเศษทางภาษีสินค้าทูน่ากระป๋องแก่ไทย ถึงสิ้นปี 2551 ผู้ประกอบการของไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือ โดยเน้นมาตรฐาน และคุณภาพสินค้าเป็นหลัก
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ(คต.) เปิดเผยว่า จากการที่อียูได้ให้โควตาภาษีสินค้าทูน่ากระป๋องแก่ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2546 — 30 มิถุนายน 2551 เพื่อชดเชยความเสียหายกรณีที่อียูได้ให้สิทธิพิเศษทางภาษี (อัตรา 0%)สินค้าทูน่ากระป๋องแก่กลุ่มประเทศ ACP (กลุ่มประเทศในแอฟริกา แคริบเบียน และแปซิฟิก)โดยในปี 2546 อียูให้โควตาที่ 25,000 ตัน อัตราภาษีในโควตา 12 % (ภาษีนอกโควตา 24 %) และเพิ่มโควตาเป็น 25,750 ตัน ในปี 2547 สำหรับปี 2548 , 2549 และ 2550 ไทยได้รับโควตาเท่าเดิมคือ 25,750 ตัน การชดเชยดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในปี 2551 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อไทยและประเทศสมาชิก ASEAN เช่น ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
นอกจากการดำเนินการที่อาจทำร่วมกันในเวทีเจรจาต่างๆ เพื่อหาทางชดเชยผลกระทบดังกล่าวแล้ว ในส่วนของไทยทางด้านการผลิตควรจะต้องเน้นมาตรฐานและคุณภาพของสินค้าเป็นหลัก โดยใช้กระบวนการและกรรมวิธีที่ได้มาตรฐาน ถูกสุขอนามัย และสินค้าต้องปลอดจากสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค รวมทั้งควรพยายามรักษาและส่งเสริมภาพลักษณ์ของสินค้าอาหารของไทยที่มีภาพลักษณ์ที่ดีทั้งในด้านคุณภาพและมาตรฐานสินค้า ซึ่งถือเป็นแต้มต่อที่ได้เปรียบประเทศคู่แข่งขันอื่นๆ ทั้งกลุ่มประเทศแอฟริกา แคริบเบียน และแปซิฟิกเอง ที่แม้จะได้เปรียบด้านภาษีนำเข้าที่เป็นศูนย์ก็ตาม รวมทั้งในหลายภูมิภาคของโลก
ซึ่งปัจจุบันกำลังประสบปัญหาจากการปนเปื้อนในเนื้อปลาของโลหะหนักที่เป็นอันตรายบางชนิด เช่น สารปรอท เป็นต้น จึงคาดว่าผู้บริโภคและประเทศผู้นำเข้าจะให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นในอนาคต มากกว่าที่จะเน้นด้านราคาแต่เพียงอย่างเดียว
อนึ่งในปี 2549 ไทยส่งออกทูน่ากระป๋องไปตลาดอียูมีมูลค่าทั้งสิ้น 5,023 ล้านบาท และช่วง 5 เดือนแรกของปี 2550 (ม.ค. — พ.ค.) ส่งออก 3,043 ล้านบาท ขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 22 โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสินค้าไทยมีส่วนแบ่งการตลาดในอียูโดยเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 10