กรุงเทพฯ--16 ก.พ.--คต.
นายสุรศักดิ์ เรียงเครือ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๔ คณะกรรมาธิการยุโรปได้ลงมติรับรองกฎระเบียบฉบับใหม่ (Commission Regulation (EU) No. ๑๐/๒๐๑๑ of ๑๔ January ๒๐๑๑) ว่าด้วยการใช้พลาสติกและวัสดุที่สัมผัสอาหาร เช่น ยาง ซิลิโคน และสาร ion exchange resins โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ทั้งนี้ EU ให้ระยะเวลาปรับตัวในการปฏิบัติให้สอดคล้องตามข้อกำหนดของกฎระเบียบดังกล่าวระหว่างวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ - ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘
กฎระเบียบใหม่ดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เป็นสาระสำคัญโดยสรุปคือ
๑.ขยายขอบเขตของพลาสติกที่เป็นวัสดุสัมผัสอาหาร ให้รวมถึง plastic layers in multi material layer materials and articles
๒.รวบรวมบัญชีรายชื่อสารที่อนุญาตให้ใช้เป็นวัสดุสัมผัสอาหารได้ ซึ่งมีทั้งสิ้นจำนวน ๘๘๕ รายการ รวมทั้งระบุค่า Specific migration limits (SML) ของสารบางรายการด้วย เนื่องจากอาจมีการถ่ายเทไปสู่อาหาร สำหรับสารที่ไม่ได้ระบุค่า SML ให้กำหนดค่า migration ได้ไม่เกิน ๖๐ มิลลิกรัมต่ออาหาร ๑ กิโลกรัม ทั้งนี้ องค์ประกอบในพลาสติกต้องไม่ถ่ายเทไปสู่อาหารในปริมาณเกิน ๖๐ มิลลิกรัมต่อพื้นที่สัมผัสอาหาร ๑ ลูกบาศก์เซ็นติเมตร
๓. จำกัดการใช้โลหะและวัสดุบางชนิด เช่น แบเรียม เหล็ก สังกะสี รวมทั้งระบุปริมาณขั้นต่ำที่อนุญาตให้ถ่ายเทสู่อาหาร
๔. ข้อกำหนดในการทดสอบการถ่ายเทของสารและการเคลื่อนย้ายของสารจากบรรจุภัณฑ์สู่อาหาร (Migration Test)
๕. เก็บรักษาเอกสารข้อมูลในแต่ละขั้นตอนการผลิต เพื่อพิสูจน์ว่าได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดต่าง ๆ ของกฎระเบียบดังกล่าวและสามารถแสดงต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเมื่อได้รับการร้องขอ
นายสุรศักดิ์ ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า อียูจะบังคับใช้กฎระเบียบดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป ซึ่งหมายความว่าผู้ผลิตสินค้าจะต้องตรวจสอบวัสดุที่ใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารมีการถ่ายเทไปสู่อาหารเกินระดับความปลอดภัยหรือไม่ รวมทั้งวิธีการทดสอบการถ่ายเทของสารและการเคลื่อนย้ายสารจากบรรจุภัณฑ์สู่อาหารด้วย อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยยังมีเวลาเตรียมความพร้อมในการปรับเปลี่ยนการผลิตเพื่อใช้สารหรือวัสดุสัมผัสอาหารที่อียูอนุญาตให้ใช้ได้จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ โดยสามารถศึกษารายละเอียดของกฎระเบียบดังกล่าวเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์
http://eur-lex.europa.eu/LexuriServ/LexUriServ.do?uri=OJ:L๒๐๑๑:๐๑๒:๐๐๐๑:๐๐๘๙:EN:PDF
ที่มา : Bureau Veritas Bulletin, February ๒๐๑๑, Bulletin ๑๑B-๑๐๘