กรุงเทพฯ--15 พ.ค.--Minor International PCL
บมจ.ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น (MINOR) ประกาศรายได้รวม 860 ล้านบาท ลดลง 1% แม้ว่าสภาวะธุรกิจค้าปลีกจะไม่สดใส ประกอบกับตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็ลดลงมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งจากที่เกิดเหตุการณ์ลอบวางระเบิดตามสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ เช่น ห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้า ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจค้าปลีกได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว สำหรับกำไรสุทธิไตรมาส 1/50 เท่ากับ 75 ล้านบาท ลดลง 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้สาเหตุหลักนอกจากยอดขายและกำไรของธุรกิจค้า
ปลีกที่ลดลงแล้ว ในไตรมาสนี้บริษัทฯ บันทึกกำไรจากธุรกิจการบินลดลงและไม่มีกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนและสินทรัพย์ ทำให้กำไรลดลงจำนวน 23 ล้านบาท โดยธุรกิจค้าปลีกจำพวกสินค้าไลฟ์สไตล์มีรายได้ที่ลดลง ในขณะที่ธุรกิจรับจ้างผลิตมียอดขายเติบโตสูง รวมทั้งการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน MINT เพิ่มขึ้น หลังจากที่บริษัทฯ เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในไตรมาส 3/48 จาก 4.3% เป็น 19.1% และมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด
ยอดขายของธุรกิจแฟชั่นค้าปลีกคิดเป็นสัดส่วน 42% ของยอดขายรวมในไตรมาสนี้ โดยคิดเป็นยอดขาย 321 ล้านบาท ลดลง 8% และอัตรากำไรจากการดำเนินงานก็ลดลงเช่นกัน ทั้งนี้สาเหตุหลักเกิดจากภาวะซบเซาของธุรกิจค้าปลีก ประกอบกับการการปรับกลยุทธ์ทางด้านการตลาดและด้านราคาในกลุ่มสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขายในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่มีกำลังซื้อที่ลดลง โดยธุรกิจแฟชั่นค้าปลีกยังคงนำโดยสินค้าแบรนด์หลักของบริษัทฯ
อย่าง เอสปรี และ บอสสินี่ รวมทั้งแบรนด์ใหม่ เช่น ทิมเบอร์แลนด์ และ ชาร์ลส แอนด์ คีธ รวมยอดขายเท่ากับ 266 ล้านบาท ลดลง 10% และสำหรับยอดขายของสินค้าเครื่องสำอางค์ ซึ่งประกอบด้วย เรด เอิร์ธ บลูม ลาเนจ และเอลีมิส มีสัดส่วนใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนคิดเป็นมูลค่า 56 ล้านบาท
ในส่วนธุรกิจรับจ้างผลิต บริษัทฯมีรายได้คิดเป็นสัดส่วน 51% ของยอดขายรวมในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้นถึง 20% โดยมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นถึง 21% โรงงานของบริษัทฯ เริ่มขยายกำลังการผลิตและสร้างฐานลูกค้านับตั้งแต่ไตรมาส 4/47 และเพิ่มจำนวนการผลิตสินค้ามากขึ้น รวมทั้งสร้างพันธมิตรใหม่ทางธุรกิจ ส่งผลให้อัตราการผลิตของโรงงานเพิ่มขึ้นตลอดปี 2549 และในปัจจุบัน
ในไตรมาส 1/50 บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน MINT เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งผลการดำเนินงานของ MINT ในไตรมาสนี้มียอดกำไรสุทธิถึง 450 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้มีการเพิ่มการลงทุนใน MINT จาก 4.3% เป็น 19.1% ตั้งแต่ไตรมาส 3/48 ที่ราคา 4 บาท/หุ้น การลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าวนับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ถูกต้องเนื่องจากราคาหุ้น MINT ได้ปรับขึ้นมาถึง 210% นับแต่วันที่เข้าซื้อ มาเป็น 12.40 บาท/หุ้น ณ 11 พ.ค. คิดเป็นมูลค่าตลาดปัจจุบันเท่ากับ 6.9 พันล้านบาท
บริษัทไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (MINOR) เป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นจากต่างประเทศในประเทศไทย ทั้งเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องสำอาง และอุปกรณ์ส่งเสริมการเรียนการสอน โดยยี่ห้อที่บริษัทฯเป็นผู้จัดจำหน่ายในปัจจุบันได้แก่ เอสปรี เรดเอิร์ธ บอสสินี่ ซีเนะควอนอน ทิมเบอร์แลนด์ บลูม ลาเนจ อิลิมีส ทูมี่ เฮงเคล ไทม์ไลฟ์ และเวิร์ดบุ๊ค นอกจากนี้บริษัทฯยังมีธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า โดยมีโรงงานเป็นของตัวเอง อีกทั้งยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) โดยถือหุ้นในสัดส่วน 19.1% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วในปัจจุบัน และบริษัทมีนโยบายที่จะยังคงสัดส่วนของการลงทุนในบริษัทย่อยต่อไป รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถเข้าเยี่ยมชมเวบไซด์ www.minornet.com