กรุงเทพฯ--17 ก.พ.--โฟร์ ฮันเดรท
ภูมิแพ้ในจมูก (Allergic Rhinitis) โรคภูมิแพ้นั้นเกิดจากการที่ร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ทางการหายใจ ส่วนหนึ่งเกิดจากพันธุกรรม โดยพบว่าถ้าพ่อแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกมีโอกาสที่จะเป็นร้อยละ 75 เมื่อผู้ป่วยหายใจเอาสารก่อภูมิแพ้เข้าไป ในจมูกจะมีเยื่อบุจมูกที่เป็นก้อนเนื้อสีชมพู(Turbinate) เป็นประตูด่านแรกที่จะแสดงปฎิกิริยาตอบสนองกับโปรตีน หรือ สารก่อภูมิแพ้ ไวเกินกว่าบุคคลปกติทั่วไป อาทิ ไรฝุ่น ซากแมลงสาบ ละอองเกสรดอกไม้ อาหาร ขนสัตว์ และเชื้อราในอากาศ ซึ่งจะไปกระตุ้นให้เกิดการหลั่งสารเคมีออกมาเพื่อแสดงอาการ อาทิ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม บางรายอาจหอบหืดร่วมด้วย
ศาสตราจารย์นายแพทย์สมยศ คุณจักร จากยศการคลินิก ได้ให้ข้อมูลว่า วิธีการสังเกตุ โรคภูมิแพ้ ก่อนอื่นผู้ป่วยต้องสังเกตตัวเองก่อนว่า แพ้อะไร แต่หากผู้ป่วยไม่มั่นใจว่าแพ้อะไร แพทย์จะทำการสุ่มตัวอย่างสารที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ที่พบทั่วไปกับผู้ป่วย ที่ละอย่างที่สงสัยว่าผู้ป่วยอาจจะแพ้ โดยพิจารณาจากกรรมพันธุ์ สภาพแวดล้อม และการใช้ชีวิตประจำวัน จนสามารถสรุปได้ว่าผู้ป่วยแพ้อะไรบ้าง โดยสิ่งเร้าที่นำมาทดสอบส่วนใหญ่พบว่า คนไทยแพ้นุ่นกว่า 30 % โรคภูมิแพ้จากพันธุกรรม ร้อยละ 20 เมื่อพบว่าแพ้ชนิดใดแล้วแพทย์จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงสารที่แพ้
ภาวะแทรกซ้อนจะทำให้อาการภูมิแพ้ในจมูกรุนแรงขึ้น
1. ไซนัสอักเสบ
2. ติดเชื้อบริเวณโพรงจมูก
3. หูน้ำหนวก
การรักษา
- กินยาแก้แพ้ แต่มีข้อเสียคือ ง่วงนอน ราคาแพง ไม่สามารถใช้ได้ในหญิงระยะให้นมบุตร
- วัคซีนแก้โรคภูมิแพ้ เมื่อทราบสารก่อภูมิแพ้แล้ว แพทย์ก็จะฉีดวัคซีนจากสารตัวนั้นเข้าไปในปริมาณที่ไม่มากจนก่อให้เกิดอาการแพ้ เพื่อไปสร้างแอนตี้บอดีมาตัวหนึ่ง เรียกว่า Blocking Antibody เพื่อไปยับยั้ง ภูมิคุ้มกัน หรือแอนตี้บอดี้อีกตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการไม่ทำงาน แล้วเมื่อได้เกณฑ์การตอบสนองที่ดีแล้วแพทย์จะนัดมาฉีดวัคซีนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และอาจจะนัดฉีดห่างออกไปหากอาการดีขึ้นเป็นลำดับโดยต้องฉีดติดต่อกันเป็นเวลา3-5 ปี
ซึ่งเมื่อครบคอร์สการรักษาแล้วผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการแพ้ 5-10 ปี แล้วแต่ราย โดยไม่ต้องใช้ยาระงับอาการแพ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายที่มีอาการหอบหืดร่วมด้วย อาการดีขึ้น 70-80%สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตเสี่ยงต่อสารที่แพ้นั้นมากน้อยแค่ไหนและรับความเข้มข้นของสารก่อภูมิแพ้เท่าใด
แม้การฉีดวัคซีนจะเป็นการรักษาที่ต้นเหตุของปัญหา แต่วิธีดังกล่าวจะต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วยอย่างดี เพราะต้องใช้เวลารักษานานและเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ผู้ป่วยหลายรายรู้สึกท้อเมื่อต้องไปให้คุณหมอฉีดยาทุกๆสัปดาห์เป็นเวลา 3-5 ปี
- ยาพ่นจมูก-เสตียรอยด์ สำหรับผู้ป่วยภูม้แพ้ที่มีอากรหอบหืดร่วม ในการรักษาแพทย์จะแนะนำให้ใช้ยาฉีดพ่นสูดทางปากช่วยลดความไวของตัวรับสัญญาณต่อการจับกับแอนติเจนหรือสารก่อภูมิแพ้ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยหายใจสะดวกขึ้น โดยมีข้อแนะนำตามมาว่าในการใช้นั้นควรใช้ต่อเนื่องไม่เกิน 2 สัปดาห์ เพราะในยาดังกล่าวจะมีสารประกอบของสเตียรอยด์ที่จะมีผลข้างเคียงของการใช้ตั้งแต่อาการบวม ผิวแตกลาย เป็นสิว ผิวเข้มขึ้น ความดันโลหิตสูงอ่อนเพลีย ติดเชื้อง่าย คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร จนถึงขั้นกระดูกเปราะขึ้น แต่ถ้าผู้ป่วยใช้ตามคำแนะนำของแพทย์ความเสี่ยงดังกล่าวจะน้อยลง แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยจะใช้จนเคยชินกระทั่งละเลยคำแนะนำแพทย์ เพราะเมื่อเกิดอาการแล้วยาดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นทันทีนั่นเอง
- เลเซอร์รักษาภูมิแพ้ ในปัจจุบันได้มีการรักษาภูมิแพ้ในจมูกโดยการใช้แสงเลเซอร์ที่มีความจำเพาะ เข้าไปทำลายตัวรับสัญญาณภูมิแพ้ที่อยู่บนเยื่อบุโพรงจมูกที่ทำงานไวมากกว่าปกติ ให้กลับมาแสดงปฏิกิริยาในระดับปกติโดยทำการยิงเลเซอร์ไปยังจุดสั่งการที่ทำให้เกิดอาการแพ้ นอกจากนั้นแสงเลเซอร์ก็ยังช่วยลดขนาด และจำนวนของเส้นเลือดที่อยู่ใต้เยื่อบุโพรงจมูกอีกด้วย ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าหายใจได้โล่งขึ้น น้ำมูกน้อยลง การใช้แสงเลเซอร์จึงสามารถรักษาโรคภูมิแพ้ ได้ดีเทียบเท่าการฉีดยา 3-5ปี ซึ่งผู้ป่วยสามารถรักษาด้วยการยิ่งเลเซอร์ในจมูกเพียง 1 ข้าง หรือ 2 ข้างก็ได้ แต่ยิงเลเซอร์เพียง 1 ข้างก็เห็นผลดีขึ้น 70 % แต่หากผู้ป่วยมีความประสงค์จะยิงเลเซอร์ทั้งสองข้างเลยก็ได้ เพราะจะได้ผลยิ่งขึ้นเป็น 80 %
การรักษาภูมิแพ้ด้วยเลเซอร์ สามารถรักษาผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีเป็นต้นไป ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือของผู้ปกครองและผู้ป่วยด้วย ซึ่งหลังรับการรักษาจะสามารถควบคุมอาการได้ประมาณ 5-10 ปี และและพบว่าผู้ป่วยที่มีอาการหอบหืดลดลงอย่างเห็นได้ชัด
วิธีนี้เป็นการรักษาที่ปลอดภัย และ ใช้เวลาในการรักษารวมเตรียมเครื่องมือแพทย์แล้ว เพียง 10 นาที โดยหลังรับการรักษาผู้ป่วยจะมีสะเก็ดแผล และเยื่อบุโพรงจมูกบวม ประมาณ 1-2 สัปดาห์เท่านั้น ดังนั้นในช่วงนี้ผู้ป่วยบางรายจะรู้สึกว่าอาการของโรคกำเริบขึ้นได้ แต่หลังการรักษาแล้วประมาณ 2 อาทิตย์อาการต่างๆก็จะดีขึ้น และสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติหลังจากรักษาด้วยเลเซอร์ คือ การว่ายน้ำ แคะจมูก สั่งน้ำมูกแรงๆ เพราะจะทำให้แผลหายช้า
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีใดก็ตาม ก็ต้องดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันรักษาตัวเอง และหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ เนื่องจากภูมิแพ้ทำให้หายขาดไม่ได้ แต่สามารถทำให้ปฏิกิริยาในการโต้ตอบต่ออาการแพ้ลดน้อยลงได้ วิธีที่สุดคือการป้องกัน เราต้องสังเกตุก่อนว่าเราแพ้อะไร เมื่อพบแล้วก็หลีกเลี่ยง ศาสตราจารย์นายแพทย์สมยศ คุณจักร กล่าวทิ้งท้าย .
ขอบคุณข้อมูลดีๆ
ยศการคลินิก
คลินิกศัลยกรรมเพื่อความงาม ตั้งอยู่เลขที่ 293 กรุงเทพ บาซาร์ ถนนราชดำริ กรุงเทพมหานคร 10330 โทรศัพท์ 0-2253-8901, 0-2254-7679
http://www.laser-surgery-bangkok.com/thai/