กรุงเทพฯ--22 ก.พ.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2,500 ล้านบาทของ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” พร้อมทั้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้ม “Positive” หรือ “บวก” โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปชำระหนี้เงินกู้ยืมและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำธุรกิจในฐานะผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ตลอดจนจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แพทย์และผู้บริหารโรงพยาบาลที่มีความสามารถและมากประสบการณ์ รวมทั้งบริการที่มีคุณภาพในระดับสูง ในการพิจารณาอันดับเครดิตดังกล่าวยังคำนึงถึงเครือข่ายที่แข็งแกร่งของบริษัทภายใต้ชื่อกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลบีเอ็นเอชด้วย อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้ในอนาคตจากการขยายกิจการทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรที่ค่อนข้างต่ำ การแข่งขันที่มีเพิ่มขึ้นจากผู้ให้บริการธุรกิจเพื่อสุขภาพจากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และความสามารถของบริษัทในการบริหารกิจการโรงพยาบาลที่รวมเข้ามาใหม่ได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการลงทุนในหุ้นสามัญจำนวน 46,116,400 หุ้นซึ่งคิดเป็น 6.32% ของทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วของ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) และใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย (NVDR) จำนวน 35,000,000 หน่วยซึ่งคิดเป็น 4.79% ของทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วของบริษัทโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจและฐานะการเงินของบริษัทที่การปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถควบคุมการบริหารโรงพยาบาลต่าง ๆ ภายใต้สังกัดได้เป็นอย่างดีและนำโรงพยาบาลภายใต้บริษัทเฮลต์ เน็ตเวิร์คเข้ามารวมกลุ่มได้สำเร็จ ในทางตรงกันข้าม หากฐานะการเงินของบริษัทถดถอยลงหรือระดับหนี้สินสูงขึ้นกว่าที่คาดไว้ก็จะมีผลกระทบในทางลบต่ออันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัททริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการก่อตั้งในปี 2512 เพื่อดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนภายใต้ชื่อโรงพยาบาลกรุงเทพ กิจการของบริษัทขยายตัวอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2547 ผ่านการควบรวมกิจการ โดยบริษัทได้ซื้อกิจการของ บริษัท สมิติเวช จำกัด (มหาชน) บริษัท บีเอ็นเอช เมดิคอล เซ็นเตอร์ จำกัด และโรงพยาบาลในจังหวัดที่สำคัญของประเทศไทยหลายแห่งซึ่งเป็นกิจการของ บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา จำกัด บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพระยอง จำกัด บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตจำกัด บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่ จำกัด และ บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมา จำกัด นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงทุนในโรงพยาบาลอีก 2 แห่งในประเทศกัมพูชาด้วย ปัจจุบันบริษัทมีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 19 แห่ง ด้วยจำนวนเตียงรวมทั้งสิ้น 2,922 เตียง ภายใต้ชื่อโรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวชโรงพยาบาลบีเอ็นเอช และโรงพยาบาลในต่างประเทศภายใต้ชื่อ Royal International Hospital เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2553 ที่ผ่านมาบริษัทประกาศที่จะรวมกิจการกับ บริษัท เฮลท์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของกลุ่มโรงพยาบาลพญาไทและกลุ่มโรงพยาบาลเปาโล หลังจากการรวมกิจการในครั้งนี้ บริษัทจะมีโรงพยาบาลในสังกัดเพิ่มเป็น 27 แห่ง และมีเตียงบริการผู้ป่วยรวม 4,639 เตียง ทั้งนี้ เนื่องจากโรงพยาบาลภายใต้ตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลพญาไทและเปาโลจะเข้ามารวมในกลุ่มด้วย
รายได้จากการดำเนินกิจการโรงพยาบาลของบริษัทในช่วงปี 2548-2552 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีที่ระดับ 20% โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 อยู่ที่ 17,529 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากมีจำนวนผู้ป่วยทั้งชาวไทยและต่างชาติเพิ่มขึ้น รวมทั้งยังมีจำนวนผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้นด้วย สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2553 จำนวนผู้ป่วยนอกต่อวันอยู่ที่ 10,226 คน หรือเติบโต 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในช่วงดังกล่าว จำนวนผู้ป่วยในเพิ่มขึ้น 9% เป็น 1,523 รายต่อวัน อย่างไรก็ตาม จำนวนเฉลี่ยของวันที่ผู้ป่วยในเข้ารับการรักษาลดลงจากประมาณ 2.95 วันในปี 2552 มาอยู่ที่ 2.9 วันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 ในช่วง 3 ปีหลัง รายได้จากผู้ป่วยประมาณ 54%-56% มาจากผู้ป่วยใน และที่เหลือมาจากผู้ป่วยนอก ในด้านสัดส่วนของรายได้นั้น รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติคงระดับอยู่ที่ 35%-36% ของรายได้รวมในช่วงปี 2550 ถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553
โครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นตามลำดับในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากเงินทุนจากการดำเนินงานแข็งแกร่งขึ้นและค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนลดลงในช่วงปี 2551-2552 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงจากระดับ 54.5% ในปี 2549 มาอยู่ที่ 45.4% ในปี 2552 และ 43.4% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายปรับเพิ่มขึ้นจาก 7.06 เท่าในปี 2549 เป็น 8.19 เท่าในปี 2552 และ 9.93 เท่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 ภาระหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทอยู่ในสกุลเงินบาทที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ ดังนั้นบริษัทจึงไม่มีความเสี่ยงในด้านอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทค่อนข้างแน่นอนและใกล้เคียงกับผู้ประกอบการรายอื่น โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้รวมคงตัวอยู่ที่ระดับ 22%-23% ในช่วงระหว่างปี 2549 ถึง 9 เดือนแรกของปี 2553
หลังการรวมกิจการกับบริษัทเฮลท์ เน็ตเวิร์คเข้ามาคาดว่าสถานะทางธุรกิจของบริษัทจะแข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่อัตราส่วนทางการเงินในส่วนของการทำกำไรไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก คาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อรายได้จากการขายจะคงอยู่ที่ระดับเดิมเนื่องจากอัตราการทำกำไรของโรงพยาบาลภายใต้ตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลพญาไทและเปาโลอยู่ในระดับใกล้เคียงกับโรงพยาบาลที่อยู่ในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพอยู่แล้ว สินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ของบริษัทจะทำให้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรมีระดับต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง สำหรับอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนนั้นคาดว่าคงไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบันเนื่องจากการรวมกิจการกับบริษัทเฮลท์ เน็ตเวิร์คกระทำโดยวิธีการแลกหุ้น นอกจากนี้ เงินลงทุนในหุ้นบริษัทโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ยังมาจากเงินทุนจากการดำเนินงาน ดังนั้นจึงคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะต่ำกว่า 50% ทริสเรทติ้งกล่าว
บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) (BGH)
อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ A
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
BGH113A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2554 คงเดิมที่ A
BGH133A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556 คงเดิมที่ A
BGH146A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 คงเดิมที่ A
BGH166A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 คงเดิมที่ A
หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2558 A
แนวโน้มอันดับเครดิต: Positive (บวก)