กรุงเทพฯ--7 มี.ค.--คอมมูนิเคชั่น แอนด์ มอร์
แอสคอนฯ รุกตลาดคอนโดมิเนียมหรู รับกระแสธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โต ประเดิมเข้าเทกโอเวอร์คอนมิเนียม ดิ อินสไปร์ คอนโดหรูย่านพระราม 9 จับกลุ่มคนมีระดับเปิดตัวปลายเดือนมีนาคมนี้ พร้อมเพิ่มทุนจดทะเบียนเตรียมรุกธุรกิจครบวงจร ทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนงานภาครัฐ และรับเหมาก่อสร้างโครงการฯ ขนาดใหญ่ เผยพร้อมเต็มที่เข้าร่วมประมูลรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน
นายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงการซื้อกิจการคอนโดมิเนียม ดิ อินสไปร์ พระรามเก้าว่า “ในปีนี้แนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีทิศทางที่ดีขึ้นเนื่องจากมีปัจจัยบวกต่างๆ เข้ามาส่งเสริม ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ราคาวัสดุก่อสร้างที่คงที่ และการลงทุนก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าของภาครัฐ เป็นต้น โดยอิงจากรายงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดบ้านสร้างเสร็จจดทะเบียน ซึ่งเก็บตัวเลขล่าสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2549 ว่า ในส่วนของที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูงมีจำนวน 15,843 หน่วย เพิ่มขึ้น 11 % เมื่อเทียบกับช่วง 11 เดือน ของปี 2548
ซึ่งสอดคล้องกับศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่ออกมาเปิดเผยถึงทิศทางของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ช่วงต่อจากนี้ไปว่ามีทิศทางที่ดีขึ้นโดยคาดว่าที่อยู่อาศัยใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลปีนี้จะมีประมาณ 74,500-77,500 หน่วย และคอนโดมิเนียมมีโอกาสเติบโตได้ดีที่สุด ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีของธุรกิจ ทางบริษัท แอสคอนฯเองก็มีแผนที่จะขยายงานในส่วนนี้อยู่แล้วเช่นกัน เนื่องจากมองเห็นว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพ และน่าจะสามารถสร้างรายได้และผลกำไรที่ดีให้กับบริษัทได้อีกทางหนึ่ง จึงได้เข้าไปศึกษา และเสนอซื้อกิจการโครงการ ดิ อินสไปร์ พระรามเก้า ซึ่งหลังจากที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการของบริษัทฯ แล้ว และได้จัดทำรายงานของบริษัทที่ปรึกษาอิสระ(IFA) โดยการอนุมัติจากตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติ ในวันที่ 15 มีนาคมนี้ และหากได้รับการอนุมัติก็จะทำการซื้อขาย และโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ของโครงการดังกล่าว” นายพัฒนพงษ์กล่าว
สำหรับคอนโดมิเนียม ดิ อินสไปร์ พระราม 9 นั้นเป็นคอนโดมิเนียมระดับหรู สูง 18 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ประมาณ 700 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 1,400,000 — 7,000,000 บาท ขณะนี้มียอดขายไปแล้วกว่า 60 % โดยทางแอสคอนฯ มีกำหนดที่จะจัดงานเปิดตัวโครงการ พร้อมขอบคุณลูกค้า ประมาณปลายเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งในงานดังกล่าวคาดว่าน่าจะสามารถขายพื้นที่ที่เหลือได้ทั้งหมด เนื่องจากเชื่อมั่นในคุณภาพ และทำเลที่ดีที่สามารถดึงดูดใจลูกค้าที่ต้องการจะซื้อเพื่ออยู่อาศัย หรือเพื่อการลงทุน และปล่อยเช่ากับกลุ่มนักศึกษา และคนทำงานในเขตใกล้เคียง เพราะสะดวกใกล้กับสถานที่สำคัญหลายแห่ง อาทิเช่น มหาวิทยาลัย เอแบค มหาวิทยาลัย รามคำแหง สนามรัชมังคลากีฬาสถาน ห้างสรรพสินค้า เดอะมอลล์ บิ๊กซี ฯลฯเป็นต้น และสามารถเข้าออกได้หลายทาง อีกทั้งการเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิก็มีความสะดวก รวดเร็ว
นอกจากนี้บริษัทฯยังมีโครงการต่อไปที่จะพัฒนารีสอร์ท แอนด์ สปาที่หัวหิน มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษารายละเอียด และเตรียมแผนงาน โดยหากมีข้อสรุปก็จะมีการแจ้งให้ทราบต่อไป
ด้านความคืบหน้าในส่วนของแผนการดำเนินงานปี 50 นั้น ได้มีการดำเนินงานตามแผนการที่วางไว้ ซึ่งในขณะนี้ได้ประกาศแผนเพิ่มทุนเพื่อรองรับการขยายงานในอนาคต รวมทั้งดำเนินการก่อสร้างโครงการต่างๆ ที่ได้ลงนามในสัญญาก่อสร้างไว้ให้มีความสำเร็จตามแผน โดยได้ตั้งประมาณการรายได้ไว้ที่ 2,500 ล้านบาท เชื่อว่าหากทุกอย่างเป็นไปตามแผนก็จะส่งผลให้รายได้ของบริษัทฯ เติบโตตามประมาณการที่ตั้งไว้ นอกจากนี้บริษัทยังมีโครงการใหม่ๆ ที่ยังอยู่ระหว่างการรอประมูลอีกหลายโครงการฯ ซึ่งคาดว่าน่าจะชนะประมูลงานได้มากกว่าปีที่แล้ว
พร้อมเพิ่มทุนรุกธุรกิจเต็มร้อย
สำหรับเรื่องการเพิ่มทุน ที่ได้รับอนุมัติจากบอร์ดเมื่อวันที่ 25 มกราคม ที่ผ่านมานั้น จะเพิ่มทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท เป็น 400 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 200 ล้านหุ้น จัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิม 100 ล้านหุ้น ในอัตรา 2 ต่อ 1 ที่ราคา 2.50 บาท และแถมวอร์แรนต์ฟรี 1 หน่วย โดยกำหนดราคาแปลงสภาพที่ราคา 4.50 บาท มีอายุ 3 ปี ซึ่งคาดว่าจะขึ้นเครื่องหมาย XR, XW ได้ภายใน เดือนเมษายนนี้
บุกรับงานภาครัฐ จับมือ สตราบักฯ เตรียมประมูลรถไฟฟ้า 5 สาย
ในส่วนของงานประมูลรถไฟฟ้า 5 สายมูลค่า 1.6 แสนล้านของรัฐบาลนั้น ทางบริษัทฯมีความพร้อม และมั่นใจเต็มที่ ที่จะเข้าร่วมประมูล โดยเมื่อเร็วๆนี้ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงการร่วมลงทุน กับ บริษัท ดิวิดัก อินเตอร์เนชั่นแนล จี เอ็ม บี เอช (DYWIDAG International GmbH) ประเทศเยอรมัน ในเครือของ บริษัท สตราบัก เอส อี (STRABAG SE) ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างรายใหญ่ชั้นนำของยุโรป เพื่อเข้าร่วมประมูลก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าทั้ง 5 สาย สำหรับการร่วมลงทุนครั้งนี้ มีสัดส่วนการลงทุนของแอสคอนฯ 35% และ สตราบักฯ 65 % โดยสตราบักฯ จะเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างหลัก เนื่องจากมีความชำนาญ และมีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยี และเงินทุน และมีผลงานในการก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ในหลายประเทศทั่วโลก
สยายปีกรับงานต่างประเทศยังหอม
อย่างไรก็ตาม ประมาณไตรมาสที่ 2/2550 คงจะได้เห็นความคืบหน้าเกี่ยวกับโครงการรับเหมาก่อสร้างที่ประเทศเวียดนาม โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าไปศึกษารายละเอียดในการทำงาน รวมทั้งได้เซ็นข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงแรมที่ประเทศเวียดนามเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้สรุปมูลค่าโครงการที่แน่นอน เนื่องจากต้องออกแบบ และวางแผนการก่อสร้างทั้งหมดให้เสร็จก่อนจึงจะสามารถเซ็นสัญญาและลงมือก่อสร้างได้ ส่วนงานสัมปทานปรับปรุงถนนในเขมรนั้น ต้องหลังการเลือกตั้งภายในประเทศเขมรในเดือนเมษายนปีนี้ก่อนจึงจะเริ่มมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ก็ยังเดินหน้ารุกตลาดต่างประเทศต่อไป เนื่องจากเป็นการเสริมช่องทางของการสร้างรายได้ในอนาคต
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร.0-2718-3800 ต่อ 131