กรุงเทพฯ--25 ก.พ.--PRdd
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบภายในภูมิภาคตะวันออกกลางได้ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาทองคำที่ได้มีการขยับขึ้นมาแล้วประมาณ 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในไม่กี่สัปดาห์ นับจากจากเหตุการณ์จลาจลในประเทศอียิปต์เริ่มประทุขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา จากราคาทองคำช่วงก่อนหน้านั้นได้ร่วงลงไปแตะที่ 1,308 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และถึงแม้ปัญหาในอียิปต์จะคลี่คลายไปแล้วหลังจากประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาจลาจลในตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็น เยเมน บาห์เรน ซีเรีย อิหร่าน ลิเบียและประเทศใกล้เคียง โดยเฉพาะลิเบียที่อาจปรับเปลี่ยนจากจลาจลกลายไปเป็นสงครามกลางเมือง หลังจากพันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบียยังคงยืนยันที่จะไม่ลงจากอำนาจ และปลุกระดมให้กลุ่มผู้สนับสนุนใช้กำลังโจมตีกลุ่มผู้ต่อต้าน ผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ในลิเบียรวมถึงประเทศต่างๆในตะวันออกกลางยังคงตึงเครียดอยู่เช่นนี้ บริษัทฯคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะยังคงขยับขึ้นต่อไปได้อย่างต่อเนื่องโดยประเมินเป้าหมายระยะยาวจะอยู่ประมาณ 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 21,750บาท/บาททองคำ ส่วนเป้าหมายระยะสั้นอยู่ที่ 1,424 -1,430 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 20,640บาท -20,730 บาท/บาททองคำ เบื้องต้นแนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อที่บริเวณแนวรับ1,402 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 20,250 บาท/บาททองคำ แต่อย่างไรก็ตามทางวายแอลจีแนะนำให้ติดตามประเด็นตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง การขายทำกำไรอาจเกิดขึ้นได้ทุกระดับราคา โดยเฉพาะบริเวณ 1,424 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 20,640 บาท/บาททองคำ
นางสาวฐิภา กล่าวว่า ในขณะที่ราคาทองคำในประเทศไทยก็ปรับตัวขึ้นเช่นกันโดยสามารถยืนอยู่เหนือ 20,000บาท อย่างไรก็ตามจะเห็นว่าราคาทองคำในประเทศยังคงมีความเสี่ยงมากกว่าราคาทองคำโลกเนื่องจากค่าเงินบาทยังคงความผันผวนต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนในประเทศยังคงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง