Movie"Beastly"

ข่าวบันเทิง Friday February 25, 2011 15:42 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--25 ก.พ.--สหมงคลฟิล์ม ประเภท Romance คำโปรย It’s what’s underneath กำหนดฉาย 17 มีนาคม 2011 เว็บไซด์ภาพยนตร์ http://www.beastlythemovie.com บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์ อำนวยการสร้าง ซูซาน คาร์โซนิส (What Women Want, No Reservations, Aquamarine) กำกับ/เขียนบท แดเนียล บาร์นส (Phoebe in Wonderland, The Cutting Room) นำแสดง วาเนสซา ฮัดเจนส์ (High School Musical I-III, Bandslam) อเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์ (Stormbreaker, Wild Child) แมรี่-เคธ โอลเซ่น (It Takes Two, New York Minute) นีล แพทริค แฮร์ริส (ซีรี่ย์ How I Met Your Mother, Starship Troopers) “จุมพิตเดียวเท่านั้นจะสะกดคนทั้งโลก” หนังรักโรแมนติกที่ดัดแปลงจาก “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” นำแสดงโดย อเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์ จาก I Am Number Four และ วาเนสซา ฮัดเจนส์ จาก High School Musical เนื้อเรื่อง Beastly คือภาพยนตร์โรแมนติกที่พูดถึงการมองทะลุุผ่านเปลือกนอก และเข้าไปถึงความงามภายในจิตใจ ไคล์ คิงสัน (อเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์) เป็นเด็กหนุ่มวัย 17 ที่มีทุกอย่างที่ทุกคนต้องการ ทั้งหน้าตา ฐานะ ชื่อเสียง และความสามารถ แต่ความเพียบพร้อมทำให้เขาชอบดูถูกคนอื่น และเหยื่อคนล่าสุดก็คือ เคนดร้า (แมรี่-เคท โอลเซ่น) เพื่อนร่วมชั้นที่มีเสียงล่ำลือว่าเป็นแม่มด เพราะ ไคล์ ไม่สำนึกในพฤติกรรมของตัวเอง เคนดร้า จึงตัดสินใจสั่งสอนด้วยการเปลี่ยนให้เขากลายเป็นอสูร ที่รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับจิตใจ โดยให้เวลาหนึ่งปีเพื่อตามหาผู้หญิงที่มองผ่านเปลือกนอกและรักเขาในแบบที่เป็น หรือจะต้องกลายเป็นแบบนี้ไปตลอดกาล ความหวังเดียวของ ไคล์ ก็คือ ลินดี้ (วาเนสซา ฮัดเจนส์) เพื่อนร่วมชั้นที่เขาไม่เคยสนใจมาก่อน นี่อาจเป็นโอกาสของเขาในการพิสูจน์ว่า “รักแท้ไม่มีวันอัปลักษณ์” ภาพยนตร์เรื่อง Beastly นำแสดงโดย วาเนสซา ฮัดเจนส์ (High School Musical) และ อเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์ (I Am Number Four) สองนักแสดงที่กำลังมาแรงที่สุดแห่งในทศวรรษนี้ Beastly สร้างจากวรรณกรรมเยาวชนขายดีของ อเล็กซ์ ฟินน์ กำกับและเขียนบทโดย แดเนียล บาร์นส (Phoebe in Wonderland) และอำนวยการสร้างโดย ซูซาน คาร์โซนิส (No Reservations, Aquamarine, What Women Want) จุดเริ่มต้นของ Beastly ในสังคมที่รูปร่างหน้าตากลายเป็นสิ่งสำคัญ คือข้อสังเกตุแรกของผู้กำกับ/เขียนบท แดเนียล บาร์นส ที่เข้ามาหาหนังที่ดัดแปลงจากวรรณกรรมคลาสสิก Beauty and the Beast (โฉมงามกับเจ้าชายอสูร) ตั้งแต่ต้นปี 2008 ทาง CBS Films ได้ซื้อสิทธิ์หนังสือของ อเล็กซ์ ฟินน์ ที่ชื่อ Beastly เล่าถึงเรื่องของเด็กหนุ่มวัย 17 ที่ถูกสาปโดยเพื่อนร่วมชั้น ให้กลายเป็นอสูรกายที่รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับจิตใจ หนทางเดียวที่จะทำลายคำสาปนั้นคือหาผู้หญิงที่รักเขาในแบบที่เขาเป็น นี่คือเรื่องราวความรักคลาสสิกสำหรับคนรุ่นใหม่ บาร์นส ได้ให้ข้อสังเกตุว่า "ทุกคนคงเคยคิดว่าตัวเองเหมือนถูกสาปตอนอยู่ในโรงเรียนอยู่แล้ว มันมีความรู้สึกที่ตัวเองแปลกแตกต่างหรือเข้ากับใครไม่ได้ แต่สุดท้ายแล้วความแตกต่างนั้นแหละที่จะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น และจะทำให้คุณกลายเป็นคนที่ดีขึ้น" ไคล์ คิงสัน ต้องกลายเป็นอสูร เป็นผลพวงมาจากการแกล้งเพื่อนร่วมชั้น เคนดร้า ด้วยการที่เธอมีพลังเหนือธรรมชาติ เธอตัดสินใจสั่งสอน ไคล์ ให้เรียนนรู้ และทำให้เขาต้องออกจากโรงเรียนไปหลบอยู่ในแมนชั่นนอกเมือง และในภารกิจตามหารักแท้ ไคล์ ก็ต้องเผชิญหน้ากับปีศาจร้ายภายในจิตใจ ผู้อำนวยการสร้าง ซูซาน คาร์โซนิส เผยว่าเธอตอบสนองได้ดีกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น และมั่นใจว่าจะสามารถเชื่อมถึงได้กับคนทั้งโลก "ทุกคนต้องการเชื่อว่าพวกเขาสามารถเปลี่ยนตัวเองได้ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดเลย ฉันคิดว่าเราต้องไม่ตัดสินคนจากหน้าตา และพยายามมองให้ลึกเข้าไปกว่าที่เป็นอยู่" Beastly เป็นผลงานเรื่องที่หกของผู้แต่งวรรณกรรม อเล็กซ์ ฟินน์ นอกจากแรงใจของเธอในการเอาเทพนิยายมาปัดฝุ่นทำใหม่ ฟินน์ ก็ยังสนใจเรื่องของการให้โอกาส คาร์โซนิส เล่าต่อว่า "ฉันสนใจประเด็นที่พูดถึงบางสิ่งที่คุณทำอาจส่งผลไปถึงทั้งชีวิตของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัยรุ่นที่ไม่ค่อยนึกถึงผลกระทบจากการกระทำของตัวเอง" การเปลี่ยนแปลงของ ไคล์ ทั้งร่างกายและจิตใจ เกิดขึ้นระหว่าง ฮันเตอร์ (ชื่อที่ ไคล์ ใช้ตอนเป็นอสูร) และ ลินดี้ เพื่อนร่วมชั้นของเขา ในตอนแรก ฮันเตอร์ ไล่ตาม ลินดี้ เพราะต้องการถอนคำสาป แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะเห็นได้ชัดว่าเขาต้องการเธอในแบบที่ไม่สนเรื่องคำสาปอีกแล้ว โดย คาร์โซนิส เผยว่าเธอชอบการสร้างความสมดุลระหว่างมุมมองของผู้หญิงและผู้ชาย "ไคล์ ได้เรียนรู้ว่าต้องทำยังไงเพื่อทำให้ผู้หญิงสนใจในตัวเขาจริงๆ ในขณะที่ ลินดี้ ก็เป็นผู้หญิงที่มองเห็นความดีในตัวของทุกคน" ผู้กำกับที่มองทะลุเปลือกนอก ทางสตูดิโอได้เลือก แดเนียล บาร์นส เข้ามาเขียนบทและกำกับ Beastly หลังจากได้เห็นผลงานของเขาเรื่อง Phoebe in Wonderland ในงานเทศกาลหนังซันแด๊นซ์ ปี 2008 ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง รอซ ไวน์เบิร์ก พูดถึงผู้กำกับว่า "แดเนียล แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถสร้างความสมดุล ที่มาพร้อมกับเรื่องราวที่ยังยึดติดกับความจริง แต่ก็ยังห้อมล้อมไปด้วยองค์ประกอบที่ให้ความรู้สึกเหมือนเวทย์มนต์" คาร์โซนิส และ ไวน์เบิร์ก นั่งคุยกับ บาร์นส ในเทศกาลหนังซันแด๊นซ์ และก็ติดใจวิสัยทัศน์ของเขาในทันที คาร์โซนิส เผยว่า "Beastly จะกลายเป็นหนังโรแมนติกผิวเผินไปเลย ถ้าไม่ได้อยู่ในมือของคนที่เหมาะสม แดเนียล เข้าใจตรงจุดนั้น พวกเรามีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างหนังโรแมนติกสำหรับวัยรุ่นทั้งรุ่นเล็กและใหญ่ พวกเราต้องการหนังที่มีความละเอียดอ่อน ที่จะทำให้คนดูรู้สึกอินเมื่อได้ดู" เมื่อได้เริ่มทำการเขียนบท บาร์นส พบว่าตัวเองได้ย้อนกลับไปในช่วงเวลาไฮสกูล ที่ไม่แตกต่างจากสังคมในยุคปัจจุบัน "ผมคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในโรงเรียน ผมชอบที่ได้เดินย้อนไปในช่วงเวลานั้น และได้สัมผัสประสบการณ์ แรงใจ ความเศร้า และความตื่นเต้นอีกครั้ง" การสร้างโลกของ Beastly เมื่อโปรเจ็คได้รับไฟเขียวจากสตูดิโอ บาร์นส ได้รวบรวมคลิ๊ปหนังที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับ Beastly ที่เขาต้องการสร้าง และมอบให้กับทีมงานทุกแผนกเพื่อทำความเข้าใจ เขาเผยว่า "หลังจากผมแจกจ่ายคลิ๊ปให้กับทีมงาน ผมก็นัดทุกคนไปเข้าค่ายด้วยกันเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ พวกเราได้พูดคุยเกี่ยวกับธีมของหนัง และพยายามเอาตรงนั้นมาทำให้เป็นภาพจริงๆ ผมคิดว่าการทำแบบนี้สร้างแรงบันดาลใจ และมอบความคิดสร้างสรรค์ให้กับพวกเรา" ผู้ออกแบบงานสร้าง รัสตี้ สมิธ เผยว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจในช่วงเวลาที่เข้าค่าย "มันไม่มีขอบเขตทางความคิด พวกเราพูดถึงเรื่องส่วนตัวและความรู้สึกต่อทุกองค์ประกอบที่มี ภายในช่วงเวลา 48 ชั่วโมง พวกเราก็สามารถพูดภาษาเดียวกัน วิธีแบบนี้แตกต่างจากหนังเรื่องอื่นๆ ที่ผมเคยทำงานด้วย" สุทธิรัตน์ ลาลาภ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ที่มีผลงานสร้างชื่อในหนังที่ได้รางวัลออสการ์ Slumdog Millionaire เห็นด้วยกับการเข้าค่ายร่วมกัน ซึ่งทำให้ทุกคนมีแนวทางการทำงานที่ตรงกัน "พวกเราคุยกันถึงสิ่งที่ต้องการทำให้มันเกิดขึ้นจริง และเมื่อได้จดเอาไอเดียทุกอย่างลงไปบนกระดาษแล้ว พวกเราก็หาวิธีเพื่อถ่ายทอดให้มันออกมาเป็นจริง" สำหรับ ลาลาภ การออกแบบเครื่องแต่งกายใน Beastly เป็นกระบวนการที่เธอรู้สึกสนุก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คาดเอาไว้ เธออธิบายว่า "ความท้าทายก็คือการทำให้นักแสดงที่มีหน้าตาดี สั่งสอนให้เห็นถึงความงามภายในจิตใจ เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันพอสมควร เสื้อผ้าของฉันจะต้องส่งเสริมข้อความนั้นให้ได้ มันไม่สำคัญว่าคุณจะสวมใส่อะไร แต่สิ่งที่อยู่ข้างในนั้นต่างหากที่สำคัญ" สำหรับมุมมองจากฝั่งตัวละคร บาร์นส อธิบายว่า "การออกแบบงานสร้างมีพื้นฐานจากตัวละคร ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยผู้ชายที่คิดว่าตัวเองมองเห็นโลกทะลุปรุโปร่ง แต่กลายเป็นว่าเขากำลังถูกหลอกด้วยสิ่งที่ฉาบเอาไว้ องค์ประกอบรอบตัวเขานำไปสู่องค์แรกของเรื่องที่เต็มไปด้วยสีสันสดใส พวกใช้กระจกเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงสังคมในปัจจุบัน ในขณะที่องค์ที่สองและสามมีเลือดเนื้อมากขึ้น การออกแบบให้ดูอบอุ่นดูช่วยทำให้ไคล์ เข้าใจถึงความงามในอีกรูปแบบนึงได้ง่ายขึ้น" สถาปัตยกรรมแบบเก่ารวมถึงพื้นที่กว้าง ทีมงานก็ได้เลือกถ่ายทำกันในเมืองมอนทรีออล ที่ใช้เป็นตัวแทนของเมืองนิวยอร์ค บาร์นส เล่าว่า "มอนทรีออลมีมนต์สเน่ห์แบบเทพนิยายที่มักจะเป็นตัวแทนของมหานครนิวยอร์ค เมื่อตอนที่ค้นหาสถานที่ถ่ายทำ พวกเราก็รู้สึกถูกชะตากับที่นี่ ถนนที่ปูด้วยหินก้อนใหญ่ สวนสาธานณะที่ร่มรื่น สถาปัตยกรรมแบบโกธิค ทุกองค์ประกอบจับมนต์ขลังของเทพนิยายได้ตามที่พวกเรามองหา" การตามหา “โฉมงาม” และ “เจ้าชายอสูร” ยุค 2011 สำหรับ "โฉมงามกับเจ้าชายอสูร" ในเวอร์ชั่นล่าสุด ทุกอย่างก็ไม่เหมือนกับเวอร์ชั่นที่ผ่านๆ มา การหานักแสดงที่เหมาะสมเพื่อเข้ามารับบทเป็น ไคล์ คิงสัน ถือเป็นงานที่ท้าทายที่สุด บาร์นส เผยว่า "ไม่ใช่เพียงแค่ในฮอลลิวู้ด พวกเรามองหานักแสดงหนุ่มจากทั่วโลก ในที่สุดหลังจากการตามหากว่าครึ่งปี พวกเราก็ค้นพบ อเล็กซ์" นักแสดงที่เกิดและโตในอังกฤษ อเล็กซ์ เพ็คติเฟอร์ เมื่อตอนอายุ 15 เขาได้รับบทนำใน Alex Rider: Operation Stormbreaker แสดงคู่กับ ยวน แม็คเกรเกอร์ และ อลิเชีย ซิลเวอร์สโตน แต่ Beastly ถือเป็นหนังโรแมนติกเรื่องแรกของเขา ซึ่ง อเล็กซ์ ก็รู้สึกตื่นเต้นเมื่อทราบว่าเขาถูกรับเลือกให้แสดง "ประสบการณ์ที่ดีที่สุดของผมใน Beastly ก็คือวินาทีแรกที่ผมรู้ว่าตัวเองได้รับเลือกเป็น ไคล์" ทีมงานได้พบกับนักแสดงนำชายของพวกเขา อเล็กซ์ เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบที่สุดในการเข้ามาเป็น The Beast โดย บาร์นส เผยว่า "อเล็กซ์ เป็นตัวเลือกเดียวของพวกเรา เขามีเสน่ห์ดึงดูด และมีความสามารถที่ล้นเหลือ เขายังมีความละเอียดอ่อนและบุคลิกที่ซับซ้อน ซึ่งเขานำออกมาใช้ในหนังเรื่องนี้ได้อย่างน่าทึ่ง" เพ็ตติเฟอร์ ก็รู้สึกประทับใจกับการเดินทางของ ไคล์ "เขาถูกครอบงำโดยชื่อเสียง แต่สุดท้ายก็ต้องหันกลับมาทบทวนตัวเองเมื่อเขาตกหลุมรักใครบางคนอย่างจริงจัง นอกจากต้องพัฒนาความสัมพันธ์กับคนรอบตัวแล้ว เขายังต้องปล่อยใจค้นหาตัวเองจากภายในอีกด้วย นี่ถือเป็นเรื่องที่น่ายกย่องและเป็นตัวละครที่น่าค้นหาสำหรับผม" การคัดเลือก วาเนสซา ฮัดเจนส์ เช้ามารับบทเป็น ลินดี้ ผู้กำกับ บาร์นส ก็รู้สึกว่าเธอเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด "เมื่อผมได้คุยกับ วาเนสซา ผมก็รู้สึกทึ่งในความฉลาด แรงใจ และความสามารถของเธอ ลินดี้ แตกต่างจากบทอื่นๆที่เธอเคยแสดง เธอต้องการท้าทายตัวเองและเติบโตเป็นนักแสดงที่ดี สำหรับผู้กำกับแล้วไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านั้นอีกแล้ว" ฮัดเจนส์ เผยว่า ส่วนที่น่าสนใจใน Beastly ก็คือมันเป็นบทที่ช่วยให้เธอพัฒนาตัวเองในฐานะนักแสดง "ฉันต้องการเข้าไปในห้วงอารมณ์ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในภาพยนตร์ และหลังจากแสดงฉันก็รู้สึกได้เลยว่าตัวเองเป็นนักแสดงที่ดีขึ้น" ลินดี้ เทย์เลอร์ ไม่ใช่ โฉมงาม ตามแบบเทพนิยาย ที่เปราะบางและรอพระเอกมาช่วยเหลือ ฮัดเจนส์ อธิบายว่า "ลินดี้ เป็นผู้หญิงที่สามารถช่วยตัวเองได้ เธอมีเปลือกนอกที่แข็งแกร่งที่ไม่มีใครมาทำลายได้ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นพวกที่อยู่วงนอกของโรงเรียน แต่เธอก็ไม่เก็บมาใส่ใจ ลินดี้ เรียนรู้ที่จะใช้ความแตกต่างมาเสริมเป็นพลังของตัวเอง เธอไม่ต้องการตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์" ความทุ่มเทของ ฮัดเจนส์ ในบทบาทที่ได้รับ ทำให้นักแสดงนำอย่าง เพ็ตติเฟอร์ ยังต้องรู้สึกทึ่ง "วาเนสซา จะทำให้คุณรู้สึกทึ่งไปเลย เธอเป็นผู้หญิงที่น่ารัก สวย และมีความสามารถ ผมมีช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการร่วมแสดงกับเธอ" ขณะเดียวกันความรู้สึกของ เพ็ตติเฟอร์ ก็เกิดขึ้นจากทางฝ่ายหญิงเช่นกัน ฮัดเจนส์ เผยว่า "สิ่งที่ อเล็กซ์ ในหนังเป็นเรื่องที่น่าประทับใจ ฉันรู้สึกสนุกที่ได้เห็นการแสดงและการเปลี่ยนแปลงของเขา" และด้วยความที่ทั้งนักแสดงนำมีช่วงเวลาที่สนุกร่วมกัน ความโรแมนติกก็ถูกถ่ายทอดออกมาบนจออย่างเต็มที่ ผู้อำนวยการสร้าง คาร์โซนิส เล่าว่า "วาเนสซา และ อเล็กซ์ มีเคมีที่เข้ากันอย่างล้นเหลือ เมื่อคุณได้เห็นพวกเขาครั้งแรกบนจอ พลังงานขับเคลื่อนที่เกิดขึ้นก็จะทำให้คุณเชื่อว่าสองคนนี้เกิดมาคู่กัน" นอกจากนักแสดงนำทั้งสองแล้ว Beastly ก็ยังมีทีมนักแสดงสมทบคุณภาพ ที่ประกอบไปด้วยนักแสดงที่อยู่ในวงการมานานรวมถึงนักแสดงหน้าใหม่ โดยหนึ่งในนั้นก็เป็นนักแสดงที่ทุกคนรู้จักกันดีอย่าง แมรี่-เคท โอลเซ่น ที่รับบทเป็น เคนดร้า แม่มดที่สาป ไคล์ ให้กลายเป็นอสูร การได้ โอลเซ่น เข้ามาแสดงถือเป็นฝันที่เป็นจริงสำหรับ บาร์นส เขาเล่าว่า "แมรี่-เคท เป็นนักแสดงที่ผมอยากร่วมงานด้วยมานานแล้ว เคนดร้า เป็นตัวละครที่เหมือนหลุดออกมาจากเทพนิยาย ดังนั้นเราจึงต้องการใครสักคนที่จับความสนใจของคุณได้ตั้งแต่การปรากฎตัวครั้งแรก และใครจะเหมาะไปกว่า แมรี่-เคท โอลเซ่น" มันไม่ยากในการทำให้ โอลเซ่น หันมาสนใจหนังเรื่องนี้ เธอเผยว่า "ฉันเป็นแฟนหนังของ แดเนียล ตั้งแต่ได้ดู Phoebe in Wonderland ในเทศกาลหนังซันแด๊นซ์ ฉันคิดว่าเขาเป็นผู้กำกับที่มีพรสวรรค์ ฉันตื่นเต้นที่พูดคุยกับเขาในการเข้ามาแสดงใน Beastly เขามีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในเนื้อเรื่องและตัวละคร" โอลเซ่น ก็มีช่วงเวลาที่สนุกในกองถ่าย Beastly “มันเป็นสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยอดเยี่ยม เพราะนักแสดงทุกคนต่างก็สนิทและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มันเป็นเรื่องดีเมื่อรู้ว่าคุณได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้าง" นักแสดงตลกอย่าง นีล แพทริค แฮร์ริส ก็ถือเป็นตัวละครที่มีความสำคัญในหนัง โดยเขารับบทเป็น วิล คุณครูตาบอดของ ไคล์ โดย บาร์ส ก็รู้สึกตื่นเต้นที่ แฮร์ริส เข้ามารับบนี้ "นีล เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมถ้าคุณได้ทำงานร่วมกัน เขามอบทางเลือกให้เราสำหรับตัวตนของ วิล มันเป็นบทที่ยากเพราะว่าเขาต้องเป็นคนตลก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนผู้ที่คอยสั่งสอน ไคล์ ซึ่ง นีล ก็ได้สร้างสมดุลในตัวละครนี้" ความสมดุลระหว่างความสว่างและความมืด ที่ทำให้ แฮร์ริส สนใจใน Beastly "เมื่อผมได้ยินว่าตัวละครของผมตาบอด ผมก็รู้สึกว่ามันมีความท้าทายแล้ว ผมแสดงในหนังโดยที่ไม่ใช้สายตาจริงๆ อย่างไรก็ตามมันก็มีความท้าทายที่ว่า วิล จะต้องเป็นทั้งคนปล่อยมุขและคอยสั่งสอนบทเรียนในชีวิต" นักแสดงรุ่นใหญ่ ลิซ่า เกย์ ฮามิลตัน รับบทเป็น โซล่า แม่บ้านผู้ซื่อสัตย์ของ ไคล์ โดยเธอได้อ่านบทและตอบตกลงรับเล่นทันที "มันเป็นบทที่ยอดเยี่ยมมาก มันพยายามที่จะสื่อสารข้อคิดที่ดีให้กับคนดู และฉันคิดว่าเราทำมันสำเร็จ แต่ในระดับรากฐานที่สุด Beastly มีความโรแมนติกที่เข้าถึงได้ทุกคน" ผู้กำกับ บาร์นส ก็พูดถึงนักแสดงคนนี้ว่า "ลิซ่า เกย์ ฮามิลตัน ได้นำไหวพริบที่เป็นธรรมชาติเข้ามาในบท โซล่า เป็นตัวละครที่เป็นเหมือนเสียงจากจิตใต้สำนึกของ ไคล์ และ เธอมีพลังงานที่น่าทึ่ง และมีความสามารถในการสื่อสารกับทุกคนได้โดยไม่ต้องเอ่ยปากด้วยซ้ำ" ตัวตนของเทพบุตรอสูร ไคล์ คิงสัน ต้องเปลี่ยนแปลงทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและจิตใจ จากนักเรียนที่เป็นที่นิยม กลายเป็นอสูรที่ปลีกตัวออกมาจากสังคม รูปลักษณ์ของอสูรเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้กำกับ แดเนียล บาร์นส ตั้งแต่ตัดสินใจเข้ามาทำงาน "ตั้งแต่แรกที่ผมได้คุยกับทางสตูดิโอ พวกเขาก็ถามก่อนเลยว่าอสูรจะมีรูปลักษณ์แบบไหน ตอนนั้นผมบอกพวกเขาว่ายังไม่แน่ใจ แต่ผมรู้ว่าจะไม่มีขนตามอย่างในหนังสือแน่นอน" Beastly ไม่ได้อ้างอิงรูปลักษณ์ของอสูรจากเวอร์ชั่นก่อนๆ ของ Beauty and the Beast บาร์นส อธิบายว่า "ทุกเวอร์ชั่นตัวละครอสูรจะมีความคล้ายคลึงกับสัตว์จริงๆ พวกเราไม่ต้องการเดินตามรอยนั้น สำหรับผมแล้วพื้นฐานของ Beastly ก็คือการทำให้คนที่หน้าตาดีกลายเป็นคนอัปลักษณ์ นั้นคือแนวทางที่ผมต้องการสร้างตัวตนของ ไคล์" ผู้อำนวยการสร้าง คาร์โซนิส เสริมต่อว่า "อสูรของพวกเราก็ส่วนผสมจากฝันร้ายของ ไคล์ และรูปลักษณ์ที่ เคนดร้า คิดว่าเหมาะสมสำหรับการลงโทษ โดยมีพื้นฐานมาจากสิ่งที่เขาพูดกับเธอ หรือว่าสิ่งที่เขาพูดกับคนอื่นในตอนแรก" บาร์นส ร่วมมือกับทีมเมคอัพและผู้ออกแบบตัวละคร โทนี่ การ์ดเนอร์ ที่สร้างชื่อจากการสร้างเหล่าซอมบี้ในเอ็มวีสุดคลาสสิค Thriller ของ ไมเคิล แจ็คสัน และรวมถึงหนังเรื่อง Aliens ของผู้กำกับ เจมส์ คาเมรอน โดยอสูรจะต้องมีพื้นฐานมาจากสิ่งที่ ไคล์ รังเกียจ การ์ดเนอร์ อธิบายว่า "มันต้องเป็นสิ่งที่ ไคล์ ใช้เพื่อดูถูกคนอื่น เขาดูถูกคนอื่นเพราะหน้าตา การแต่งตัว และฐานะทางสังคม คำด่าถูกเปลี่ยนเป็นคำสาปที่ย้อนกลับมาหาเขา เขากลายเป็นคนไม่มีผม ผิวซีดเซียว ฟันเหลือง ตามตัวมีรอยแผล รอยสักและการเจาะ ทุกอย่างมาจากคำพูดของเขาในตอนแรก" วาเนสซา ฮัดเจนส์ เผยว่าผลลัพท์ที่เธอเห็นเป้นอะไรที่น่าทึ่งที่สุด "การแต่งหน้าอสูรเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น ครั้งแรกที่ฉันได้เห็น ฉันก็รู้สึกช็อคไปเลย มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่ได้เห็น อเล็กซ์ ก่อนและหลังแปลงโฉม เขาสามารถทำตัวให้กลายเป็นอีกคนหนึ่งได้เลย และการเป็นอสูรก็ทำให้เขาเข้าใจถึงอีกตัวตนหนึ่งได้ทันที" เพ็ตติเฟอร์ เห็นด้วยกับ ฮัดเจนส์ ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นอสูรนั้น ทำให้เขาเข้าใจการแสดงเป็นอีกคนหนึ่งได้ง่ายขึ้น "การแต่งหน้าทำให้ผมก้าวเข้าไปในตัวตนของอสูร และสามารถมองโลกผ่านสายตาคู่นั้นได้ดียิ่งขึ้น" อย่างไรก็ตามกระบวนการในการเปลี่ยนเป็นอสูรไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนการวางแผน ในการเปลี่ยนจากผู้ชายหน้าตาดีไปเป็นอสูรที่หน้าตาน่ากลัว เพ็ตติเฟอร์ ต้องใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงต่อวันในการเปลี่ยนสภาพ การ์ดเนอร์ เล่าถึงกระบวนการทั้งหมดว่า "มันเป็นอะไรที่ซับซ้อนมาก เริ่มแรก อเล็กซ์ ต้องโกนหัวและคิ้วทิ้งทั้งหมด จากนั้นเราก็ติดซิลิโคนชิ้นใหญ่จำนวน 4 ชิ้นตรงหัวและคอ ซึ่งจะทำให้โครงหน้าและหัวของเขาเปลี่ยนไปจากเดิม และสามารถเพิ่มรอยแผลลึกรวมถึงรอยสักได้ง่ายขึ้น โดยส่วนหัวและคอก็จะมีรอยสักอยู่ 13 ชิ้น จากนั้นเราก็เพิ่มซิลิโคนตรงหูข้างหนึ่งเพื่อให้ดูไม่เท่ากัน ก่อนที่เริ่มตกแต่งรอยสักตามร่างกายอีกกว่า 60 ชิ้น" บทสรุปของ Beastly ในขณะที่ Beastly พาผู้ชมไปเข้าในห้วงของความโรแมนติก มันก็ได้มอบสาระที่สำคัญเกี่ยวกับผลกระทบจากการมองคนแต่ภายนอก ผู้กำกับ แดเนียล บาร์นส สรุปว่า "ผมคิดว่าผู้ชมจะเชื่อมต่อกับเรื่องราวของเราได้ และเรียนรู้ถึงความงามที่ซ่อนอยู่ในมนุษย์ทุกคน ผมคิดว่ามันจะมอบบทเรียนกับผู้ชมว่า รูปลักษณ์ภายนอกเป็นเพียงแค่เปลือก แต่สิ่งที่อยู่ข้างในนั้นต่างหากที่สำคัญ" เพ็ตติเฟอร์ กล่าวสรุปว่า "ผมเชื่อในรักแท้ และผมคิดว่าความหวังที่เรามอบให้ผ่านเรื่องนี้ จะช่วยปลุกความเชื่อมั่นในตัวเองของผู้ชมทุกคน" ฮัดเจนส์ ก็เห็นด้วยกับ เพ็ตติเฟอร์ เธอหวังว่าสาระใน Beastly จะเข้าถึงผู้ชมทุกคน "มีหลายสิ่งในโลกที่ถูกมองอยู่ด้านเดียว และมันก็คงดีถ้าคุณได้เห็นจากอีกมุมมองนึง นั้นคือสิ่งที่ ไคล์ ได้เรียนรู้ และเป็นสิ่งที่ทุกคนควรพยายามจะทำบ้างในโลกใบนี้" ประวัติทีมนักแสดง อเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์ (รับบทเป็น ไคล์) อเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์ ผู้ชายสุดฮ๊อตที่มีชื่อติดหนึ่งในห้าสิบหนุ่มโสดที่ฮ๊อดที่สุดของเกาะอังกฤษ รวมถึงผู้ชายที่เซ็กซี่ที่สุดในโลกจากการจัดอันดับของนิตยสาร Glamour และยังได้รับรางวัล Male Star of Tomorrow ประจำปีล่าสุดของ ShoWest Award ปี 2005 เพ็ตติเฟอร์ ได้เริ่มเข้าสู่วงการแสดงในการรับบทเป็น อเล็กซ์ ไรเดอร์ ตัวละครนำใน Stormbreaker หนังแอ็คชั่นสายลับที่สร้างจากนวนิยายขายดี ร่วมแสดงโดย ยวน แม็คเกรเกอร์ และ อลิเซีย ซิลเวอร์สโตน ซึ่งเขาสามารถเอาชนะนักแสดงที่มาคัดเลือกกว่า 500 คน หนังทำรายได้เปิดตัวเป็นอันดับหนึ่งในอังกฤษ และทำให้เพ็ตติเฟอร์ กลายเป็นไอด้อลคนใหม่ของแห่งวงการภาพยนตร์ ภาพยนตร์เรื่องต่อไปของเขาคือ Wild Child ที่นำแสดงโดย เอ็มม่า โรเบิร์ต หลานสาวของ จูเลีย โรเบิร์ต ที่เป็นเรื่องของสาวแคลิฟอร์เนียที่ต้องมาเป็นนักเรียนประจำในอังกฤษ โดยเขารับบทเป็นหนุ่มอังกฤษที่เป็นที่หมายตาของสาวๆ ถัดมาเขาก็ได้รับบทในหนังสยองขวัญเป็นครั้งแรกเรื่อง Tormented ที่เกี่ยวกับนักเรียนที่ถูกฆ่ากลับมาแก้แค้นเพื่อนๆ ปี 2011 ถือเป็นการก้าวเข้าสู่วงการหนังฮอลลิวู้ดอย่างเต็มตัวของ เพ็ตติเฟอร์ เมื่อเขามีผลงานใหม่ถึงสองเรื่องอย่าง I Am Number Four หนังแอ็คชั่น/ไซไฟ ที่อำนวยการสร้างโดย สตีเฟ่น สปีลเบิร์ค และ ไมเคิล เบย์ โดยเขารับบทเป็นมนุษย์ต่างดาวที่ต้องหนีการตามล่าจากรัฐบาล และ Beastly หนังโรแมนติก ที่หยิบเอาตำนาน โฉมงามกับเจ้าชายอสูร มาตีความใหม่ โดยเขาได้รับบทนำคู่กับดาราสาวดาวรุ่งอีกคนอย่าง วาเนสซา ฮัดเจนส์ โดยในเรื่องเขารับบทเป็นวัยรุ่นที่หลงตัวเอง แต่แล้วเขาก็ถูกเพื่อนร่วมชั้นสาปให้เป็นทุกสิ่งที่เขาเกลียด ด้วยการมีรูปร่างแบบ "อสูร" ทำให้เขาต้องตามหารักแท้เพื่อที่จะทำลายคำสาป วาเนสซา ฮัดเจนท์ (รับบทเป็น ลินดี้) วาเนสซา ฮัดเจนท์ นางเอกสาวที่เรียกได้ว่าเป็นทีนไอดอลตัวจริง โดยเฉพาะผู้ที่เป็นแฟนของ High School Musical และถือเป็นบทแจ้งเกิดเธอในวงการอย่างแท้จริง โดยเธอรับบทเป็นนางเอกของเรื่องตั้งแต่ High School Musical ในเวอร์ชั่น ทีวีซีรี่ย์ ทั้งภาค 1 และ 2 ทางช่อง Disney Channel และยังรับบทเดิมต่อเนื่อง เมื่อสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2008 กับ High School Musical 3: Senior Year สำหรับบบทบาททางจอเงินของเธอนั้น เธอเริ่มแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในปี 2003 กับภาพยนตร์เรื่อง Thirteen และมีผลงานออกมาเรื่อยๆ นอกจากบทบาททางการแสดง วาเนสซา ยังเป็นนักร้องอีกด้วย ซึ่งอัลบั้มของเธอก็ได้รับความนิยม โดยอัลบั้มแรกอย่าง V ที่วางแผงในปี 2006 ก็ได้รับความนิยมอย่างสูงจนสามารถเข้าไปอยู่ใน Billboard Chart ในอันดับที่ 24 และอัลบั้มเพลงของเธอยังได้ติดอันดับ 7 ของ Billboard Best Album of the Year และในปี 2008 อัลบั้มที่สองของเธอก็ตามออกมากับ Identified และก็ได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน ด้วยความสามารถมากมายทั้งด้านการแสดง และ การร้องเพลง และในชีวิตส่วนตัว ที่เธอได้เป็นหวานใจของหนุ่มๆที่สาวๆใฝ่ฝันอย่าง แช็ค แอฟรอน ที่แสดงร่วมกับเธอใน High School Musical ทำให้เธอเป็นนักแสดงอีกคนที่น่าจับตามอง ด้วยความเป็นทีนไอดอล ทำให้ วาเนสซา ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล และได้รับรางวัลจากหลายสาขาโดยเฉพาะรางวัลจากวัยรุ่น โดยรางวัลแรกของเธอในปี 2006 กับรางวัล Teen Choice Awards ถึง 2 สาขา คือ Choice TV Chemistry และ Choice Music Breakout Artist — Female และในปี 2008 กับรางวัล Teen Choice Awards สาขา Choice Hottie และในปีนี้ วาเนสซา ฮัดเจนท์ กลับมารับบทบาทประกบกับดาวรุ่งดวงใหม่ อเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์ หนุ่มหล่อหน้าใส ที่จะมาครองใจสาวๆ ในภาพยนตร์ที่มีเค้าโครงมาจากเทพนิยายคลาสสิกเรื่อง โฉมงามกับเจ้าชายอสูร ที่ถูกนำมาเล่าใหม่เป็นเวอร์ชั่น 2011 ที่ทุกอย่างเกิดขึ้นกลางมหานครนิวยอร์ค ในยุคปัจจุบัน โดยฝีมือการประพันธ์ ของ อเล็กซ์ ฟินน์ กับภาพยนตร์เรื่อง Beastly ซึ่งพร้อมลงโรงฉายในวันที่ 17 มีนาคมนี้ แมรี่-เคท โอลเซ่น (รับบทเป็น เคนดร้า) แมรี่-เคธ โอลเซ่น เป็นนักแสดงวัยรุ่นและผู้อำนวยการสร้างที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เด็ก เธอและน้องสาวฝาแฝด แอชลี่ย์ โอลเซ่น เป็นผู้นำแฟชั่นและอาณาจักรบันเทิงที่มียอดขายปลีกเกิน 1,000 ล้านดอลล่าร์ เธอได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้อำนวยการสร้างที่อายุน้อยที่สุดของฮอลลิวู้ดตั้งแต่อายุได้ 6 ขวบ เธอและน้องสาวได้รับการเปรียบเทียบจากสื่อ กับบรรดาศิลปินและนักธุรกิจหญิงอย่าง โอปรา วินฟรีย์ และ โจดี้ ฟอสเตอร์ ในหนังสือพิเศษ The Hollywood Reporter ที่ออกมาเขียนให้ แมรี่-เคธ และ แอชลี่ย์ ให้สมญานามพวกเธอว่าเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจมากที่สุดในวงการ แมรี่-เคท เป็นที่รู้จักในตอนแรก จากการผลัดกันกับน้องสาวรับบทเป็น มิเชล แทนเน่อร์ ให้กับซีรีส์ยอดฮิตของสถานีโทรทัศน์ ABC เรื่อง Full House จากอายุเพียง 9 เดือนไปจนถึงอายุ 9 ขวบ แมรี่-เคธ ได้เติบโตต่อหน้าสาธารณะชนทีละน้อย ความสำเร็จในการแสดงของเธอยังครอบคลุมไปถึง วิดีโอ ดีวิดี หนังสือ แมกกาซีน ซีดี ตุ๊กตาแฟชั่น วิดีโอเกมส์ เครื่องแต่งกาย เครื่องหอม และเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ภายในบ้านภายใต้ชื่อ แมรี่เคธ แอนด์ แอชลี่ย์ ซึ่งมียอดขายกว่า 100 ล้านชิ้น เธอมีผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกชื่อ New York Minute ในปี 2004 ก่อนที่จะรับบทในซีรี่ย์ชื่อดัง Weeds และแสดงใฝนหนังที่ได้รับรางวัลขวัญใจผู้ชมในเทศกาลหนังซันแด๊นซ์อย่าง The Wackness นีล แพทริค แฮร์ริส (รับบทเป็น วิล) ผลงาน >>> How I Met Your Mother (ซีรี่ย์), Starship Troopers, Cloudy with a Chance of Meatballs (ให้เสียง), Harold & Kumar Go to White Castle ลิซ่า เกย์ ฮามิลตัน (รับบทเป็น โซล่า) ผลงาน >>> The Soloist, True Crime, Beloved, Jackie Brown, Twelve Monkeys ปีเตอร์ ครอส รับบทเป็น ร็อบ คิงสัน) ผลงาน >>> Six Feet Under (ซีรี่ย์), The Truman Show, We Don't Live Here Anymore, Dirty Sexy Money (ซีรี่ย์) ประวัติทีมสร้าง แดเนียล บาร์นส (ผู้กำกับ / เขียนบท) เกิดและโตในเมืองฟิลาเดลเฟีย หลังจากได้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเยล เขาก็แสดงละครเวทีกับคณะ วิลเลี่ยมส์ทาวน์ อยู่หลายปี จนในที่สุดก็ได้ย้ายไปอยู่ในแอลเอกับคณะละครเวทีของ ทิม ร็อบบิ้นส์ ก่อนที่จะเข้าเรียนปริญญาโทที่ University of Southern California School ในสาขาภาพยนตร์และโทรทัศน์ หลังจากสำเร็จการศึกษา บาร์นส ก็ได้เริ่มต้นทำงานเขียนบทภาพยนตร์ โดยได้เขียนบทและกำกับหนังสั้นที่ได้รับรางวัลมามากมายอย่าง The Cutting Room จากนั้นในปี 2007 เขาก็ถูกเรียกว่าเป็น "25 ผู้กำกับหน้าใหม่ที่น่าจับตา" ของนิตยสาร Filmmaker และในปี 2008 ที่เขาเป็น "หนึ่งในสิบผู้กำกับที่น่าจับตา" ของนิตยสาร Variety ภาพยนตร์เรื่องแรกของ บาร์นส คือ Phoebe in Wonderland นำแสดงโดย แอล แฟนนิ่ง, เฟลิซิตี้ ฮัฟแมน, แพทริเซีย คลาร์คสัน, แคมป์เบลล์ สก็อตต์ และ บิล พูลแมน หนังได้รับรางวัลขวัญใจคนดูในเทศกาลหนังซันแด๊นซ์ และทำให้เขาได้รับโอกาสในการกำกับหนังรักโรแมนติกอย่าง Beastly ในที่สุด ซูซาน คาร์โซนิส (ผู้อำนวยการสร้าง) ผลงาน >>> What Women Want, The Truth about Cats and Dogs, Where the Heart is, Aquamarine แมนดี้ วอร์คเกอร์ (ผู้กำกับภาพ) ผลงาน >>> Australia, Shattered Glass, Red Riding Hood, รัสตี้ สมิธ (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ผลงาน >>> Meet The Fockers, Elf, The Jane Austen Book Club สุทธิรัตน์ ลาลาภ (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) ผลงาน >>> Slumdog Millionaire, Sunshine, 127 Hours, The Extra Man

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ