บลจ.ทิสโก้ชี้เศรษฐกิจโลกสดใส-เอเชียแรงขับเคลื่อนหลัก แนะจับจังหวะลงทุนหุ้นจีน เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน

ข่าวเศรษฐกิจ Monday February 28, 2011 14:02 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--28 ก.พ.--บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป บลจ. ทิสโก้ชี้เศรษฐกิจโลกยังขยายตัวดี หลังรับแรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจเอเชียที่ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แนะจับจังหวะลงทุนหุ้นจีนเพิ่ม สร้างโอกาสรับผลตอบแทนและช่วยกระจายความเสี่ยงในตลาดต่างประเทศ เหตุขยายตัวโดดเด่นสุดในภูมิภาค และ PE ยังอยู่ในระดับต่ำ ด้านตลาดสหรัฐฯ และยุโรป เพิ่งเริ่มฟื้นตัวแบบค่อยไปค่อยไป นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, Senior Vice President, Head of Investment Management — Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co.,Ltd.) เปิดเผยว่า บลจ.ทิสโก้ ประเมินการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะยังมีการขยายตัวที่แข็งแกร่ง หรืออยู่ที่ระดับ 4-5% โดยแรงขับเคลื่อนหลักจะนำโดยภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงถึง 7-8% ขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและยุโรปนั้นกำลังเข้าสู่ช่วงของการฟื้นตัว เป็นผลมาจากมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงธนาคารกลางยังคอยสนับสนุนผ่านการคงนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำและการอัดฉีดสภาพคล่อง แต่การฟื้นตัวดังกล่าวจะเป็นไปแบบค่อยเป็นค่อยไปและยังมีการเติบโตอยู่ในระดับที่ต่ำ ทั้งนี้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียที่สามารถขยายตัวได้ดี เป็นเพราะประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคมีการบริโภคภาคเอกชน (Private Consumption) ที่แข็งแกร่ง เนื่องจากการเป็นประเทศกำลังพัฒนาทำให้มีคนชนชั้นกลางมากขึ้น ดังนั้นรูปแบบของการบริโภคหรือการใช้ชีวิตประจำวันก็จะมีการเปลี่ยนแปลง การจับจ่ายใช้สอยก็จะมีปริมาณที่มากขึ้น อีกทั้งประชากรในภูมิภาคนี้ยังมีจำนวนที่สูงมาก โดยเฉพาะประเทศจีนและอินเดีย มีประชากรรวมกันคิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั่วโลก นอกจากนี้เศรษฐกิจของจีนและอินเดียยังมีการขยายตัวที่สูง อัตราการบริโภคก็อยู่ในระดับที่สูงมาก ทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้าจากประเทศในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน จึงถือเป็นแรงผลักดันให้เศรษฐกิจในภูมิภาคนี้มีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง “ความน่าสนใจการลงทุนในเอเชีย อยูที่การมีปัจจัยพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และแม้ว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจะมีแรงเทขายหุ้นเอเชียของต่างชาติค่อนข้างมาก ก็ไม่ได้เป็นปัจจัยที่น่ากังวล เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นการปรับพอร์ตการลงทุนชั่วคราวไปยังตลาดสหรัฐและยุโรปที่มีการลงทุนต่ำกว่าเกณฑ์ในช่วงปีที่ผ่านมา โดยคาดหมายว่าเศรษฐกิจทางสหรัฐและยุโรปจะเริ่มฟื้นตัวได้ในปีนี้ ประกอบกับความกังวลต่อเงินเฟ้อซึ่งจะอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่รวมถึงภูมิภาคเอเชียแต่ขณะนี้ PE ของสหรัฐฯและยุโรปเริ่มสูงขึ้น หรืออยู่ที่ 13.5 เท่า ตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ซึ่งปัจจุบันถือว่าแพงกว่า PE ของฝั่งเอเชียซึ่งอยู่ที่ 12.5 เท่าแล้ว ขณะที่ระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรคาดว่าจะทยอยอ่อนตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลให้ความกังวลต่อเงินเฟ้อจะเริ่มคลี่คลายลงได้ ทำให้เชื่อว่าการปรับพอร์ตของนักลงทุนจะใกล้จบแล้ว และจะหันการลงทุนมาที่เอเชียอีกครั้ง” สำหรับการลงทุนที่น่าสนใจมากที่สุด คือ การลงทุนในตลาดหุ้นจีน ซึ่งถือเป็นประเทศยักษ์ใหญ่และเป็นแกนหลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียนี้ ด้วยการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะสูงถึง 8-10% อีกทั้งราคาหุ้นของจีนที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง ได้มีการปรับตัวลดลงมาพอสมควร โดย PE ปัจจุบันอยู่ที่ 10.2 เท่า และในปี 2012 จะลดลงเหลือ 8.8 เท่า (ตามข้อมูลของ Bloomberg Consensus) จากการที่นักลงทุนมีความกังวลว่าเศรษฐกิจของจีนมีการเติบโตที่ร้อนแรงเกินไป รวมไปถึงความกังวลว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่ในธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ และปัญหาเงินเฟ้อ แต่ด้วยนโยบายของทางการจีนที่ต้องการลดความร้อนแรงดังกล่าวลง เห็นได้จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะส่งผลให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนเริ่มอ่อนตัวลงมาบ้าง และทำให้นักลงทุนคลายกังวลได้มากขึ้น ส่วนความกังวลเรื่องเงินเฟ้อในจีนนั้น ซึ่งเป็นผลมาจากราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2010 นั้น บลจ.ทิสโก้ มองว่าภาวะดังกล่าวใกล้จะหลุดจากจุดสูงสุดแล้ว และจะเริ่มเข้าสู่ภาวะราคาถดถอยแทน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากในช่วงที่ราคาขึ้นไปสูง ทำให้การเพาะปลูกเพิ่มขึ้น และเมื่อสินค้าในตลาดมีเพิ่มขึ้นราคาก็ย่อมจะปรับลดลงมา ทั้งนี้นักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่าในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า ราคาสินค้าเกษตรจะมีอ่อนตัวลงแรง ทำให้ความกังวลด้านอัตราเงินเฟ้อก็น่าจะผ่อนคลายลง ดังนั้นในช่วงนี้จึงเป็นจังหวะเหมาะที่จะทยอยสะสมหุ้นของจีน โดยเฉพาะหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์กองทุนรวมของ บลจ.ทิสโก้ ที่จะสามารถตอบสนองความต้องการลงทุนในหุ้นจีน ประกอบด้วย “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไซน่า H-Shares อิควิตี้ (TISCO China H-Shares Equity Fund)” ที่สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ โดยเน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำของประเทศจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ซึ่งจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Lyxor ETF China Enterprise (HSCEI) ซึ่งเป็นกองอีทีเอฟที่มีวัตถุประสงค์สร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Hang Seng China Enterprises และ “กองทุนเปิด ทิสโก้ เกรทเทอร์ ไชน่า ทริกเกอร์ 15% (TISCO Greater China Trigger 15% Fund)” กอง FIF ที่มีนโยบายลงทุนใน ETF ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ฮ่องกง/สิงคโปร์ โดยมีนโยบายลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีหุ้นของ 3 ประเทศ ได้แก่ จีน ฮ่องกง และไต้หวัน โดยมีดัชนีชี้วัดคือ ค่าเฉลี่ยระหว่าง Hang Seng China Enterprise Index, Hang Seng Index และ Taiwan TAIEX Index ในอัตราส่วนที่เท่ากัน ซึ่งได้คำนวณให้อยู่ในรูปเงินสกุลบาทแล้ว เพื่อเป็นอีกทางเลือกให้กับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงไปยังการลงทุนในต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายทำกำไรไว้ที่ 15% ภายในระยะเวลา 1 ปี หรือสามารถเลิกกองคืนเงินผู้ถือหน่วยลงทุนได้ก่อนครบกำหนดอายุโครงการ เมื่อสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 15% โดยกำลังอยู่ในระหว่างไอพีโอถึงวันที่ 2 มี.ค. 54 นี้ ผู้สนใจติดต่อได้ที่ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือ TISCO Call Center โทร. 02-633-6000 กด 4 การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม 0 2633 6000 กด 4 สื่อมวลชนสอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายนิเทศสัมพันธ์ บมจ. ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป โทร.02 633 6906

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ