กรุงเทพฯ--2 มี.ค.--IR PLUS
IHL ไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นผิดหวัง โชว์ผลงานปี 53 โดดเด่น ปั๊มกำไรทะลุ 272.90 ลบ. เพิ่มขึ้นกว่า 150% จากกำไร 109.06 ลบ.ในปี 52 "องอาจ ดำรงสกุลวงษ์" เผยเป็นผลจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ ในขณะที่ราคาวัตถุดิบที่ลดลง แถมยอดการผลิตสูงขึ้นทำให้มีการประหยัดจากขนาดการผลิต หนุนมาร์จิ้นออกมาสุดแจ่ม ด้านที่ประชุมบอร์ดไม่รีรอประกาศปันผลงวดครึ่งปีหลังทันทีหุ้นละ 0.40 บ. รวมจ่ายทั้งปี 0.65บ./หุ้น คิดเป็น YIELD ถึง 8.02% เทียบราคาหุ้นในกระดานที่ 8.10 บ.
นายองอาจ ดำรงสกุลวงษ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์ไฮด์ จำกัด (มหาชน) หรือ IHL ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายเบาะหนังสำหรับรถยนต์รายใหญ่ของไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานปี 2553 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 272.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 163.84 ล้านบาท คิดเป็นเป็นร้อยละ 150.22 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2552 ซึ่งบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 109.06 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากในปี 2553 บริษัทฯ มียอดรายได้รวม จำนวน 1,847.83 ล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกัน ปี2552 จำนวน 1,317.31 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯ มียอดรายได้เพิ่มขึ้น 530.52 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40.27 เนื่องมาจากปริมาณคำสั่งซื้อจากลูกค้าที่เพิ่มขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีการปรับตัวดีขึ้นตลอดปี 2553
ประกอบกับในปี2553 บริษัทฯ มีอัตราร้อยละของต้นทุนการขายลดลงเมื่อเทียบกับยอดรายได้จากการขาย โดยมีต้นทุน 1,367.64 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 75.03 ของยอดรายได้จากการขาย เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปี2552 ซึ่งบริษัทฯ มีต้นทุนขาย 1,066.99 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 81.24 ของยอดรายได้จากการขาย ซึ่งอัตราร้อยละของต้นทุนที่ลดลงมีสาเหตุมาจากราคาวัตถุดิบที่ลดลง ประกอบกับผลผลิตที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลให้บริษัทฯ มีการประหยัดจากขนาดการผลิตด้วย จึงส่งผลต่อเนื่องให้อัตรากำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิเติบโตไปในทิศทางเดียวกันดังกล่าว
ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 1/2554 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2554 คณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้มีมติเสนอจ่ายเงินปันผลในงวดครึ่งปีหลังอีกหุ้นละ 0.40 บาท เมื่อรวมกับจ่ายระหว่างกาลในงวดครึ่งปีแรกไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท ทำให้ทั้งปี 2553 บริษัทฯ จ่ายเงินปันผลทั้งสิ้น ในอัตรา 0.65 บาทต่อหุ้น โดยคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ร้อยละ 8.02 เมื่อเทียบกับราคาปิดของหุ้นในกระดานเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 ที่ 8.10 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 21 เมษายน 2554 และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์โดยวิธีปิดสมุดทะเบียน พักการโอนหุ้นในวันที่ 22 เมษายน 2554 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 6 พฤษภาคม2554 โดยผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาสามารถขอเครดิตภาษีจากการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวในอัตราร้อยละ 25ได้เต็มจำนวนตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยบริษัทฯ จะเสนอมติคณะกรรมการดังกล่าวให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติในวันที่ 7 เมษายน 2554
นายองอาจ กล่าวต่อถึงแนวโน้มธุรกิจเบาะหนังรถยนต์ในปีนี้ว่า ยังมีทิศทางการขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังเป็นช่วงขาขึ้น ซึ่งขณะนี้มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งจากรุ่นรถยนต์เดิมที่ผลิตเพิ่มขึ้น และรถยนต์รุ่นใหม่ที่ผู้ประกอบการค่ายรถยนต์เพิ่งจะส่งลงตลาด โดยขณะนี้บริษัทฯ ได้ใช้กำลังการผลิตเต็มเกือบ 100% ทุกวัน และหากแผนการขยายกำลังการผลิตแล้วเสร็จเชื่อว่าจะทำให้การรับคำสั่งซื้อของลูกค้าเป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันรับคำสั่งซื้อได้ตามกำลังการผลิตที่มีอยู่เท่านั้น ทำให้หลายครั้งต้องเสียโอกาสทางธุรกิจไปดังนั้นหากโรงงานการผลิตแห่งใหม่พร้อมเดินเครื่องในเชิงพาณิชย์ได้เชื่อว่าจะสนับสนุนรายได้ให้ของบริษัทฯ เติบโตได้อย่างโดดเด่นอีกครั้ง
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ลงทุนสร้างโรงงานการผลิตแห่งที่ 7 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตโดยรวมของบริษัทฯขึ้นอีก 50% จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2.5 ล้านตารางฟุต/เดือน เป็น 3.5-4 ล้านตารางฟุต/เดือน เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ตามการขยายตัวเพิ่มขึ้นของยอดขายรถยนต์ ทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในนิคมอุตสาหกรรมบางปู บนพื้นที่ 12 ไร่ 34 ตารางวา มูลค่า 92 ล้านบาท เพื่อนำมาปรับปรุงเป็นโรงงานการผลิตแห่งที่ 7
สำหรับการขยายกำลังการผลิตครั้งนี้ นอกจากจะเพื่อรองรับออเดอร์ใหม่ที่มีสัญญาณที่ดีขึ้น ยังถือเป็นการเพิ่มความคล่องตัวในการรับงานที่มีขนาดใหญ่จากต่างประเทศด้วย ซึ่งถือเป็นการตอบสนองต่อนโยบายของบริษัทฯ ที่จะหันมารุกงานต่างประเทศมากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ระดับ 20% ซึ่งคาดว่าในปีนี้เมื่อโรงงานใหม่เริ่มผลิตได้สัดส่วนการส่งออกน่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 30-40% เนื่องจากบริษัทฯ เตรียมขยายฐานการส่งออกไปยังตลาดทั้งแถบยุโรป และเอเชีย หลังจากประเมินว่ายังเป็นตลาดที่มีศักยภาพและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นองค์กรที่แข็งแกร่ง ซึ่งลูกค้าหลักของบริษัทฯ ประกอบด้วย โตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน มิตซูบิชิ ฟอร์ด และ มาสด้า เป็นต้น โดยในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ให้เติบโต15%