กรุงเทพฯ--2 มี.ค.--โฟร์ฮันเดรท
“ถิรไทย” ผู้นำตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าของไทย เตรียมปรับแผนการดำเนินธุรกิจ 5 ปี ลั่นขึ้นแท่นเป็นผู้นำตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าในภาคพื้น ASIA และ OCEANIA ภายในปี 2554-2559 อย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และขยายงานบริการเกี่ยวกับหม้อแปลงไฟฟ้าให้ครบวงจร รวมถึงขยายฐานตลาดไปไปตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้น รวมทั้งแสวงหาโอกาสร่วมลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ด้วยผลงานคุณภาพที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าโดยยึดหลัก ธรรมาภิบาลในการบริหารงาน และเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม ทั้งยังจัดตั้ง เครือข่ายครอบครัวถิรไทย เพื่อดำเนินกิจกรรมทางด้านสังคม และสิ่งแวดล้อม อีกด้วย หลังปิดงบปี 2553 เป็นไปตามสถานการณ์ 1,426.43 ล้านบาท มีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 142.73 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 27.67 % สูงขึ้นจากช่วงปีก่อนซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 24.70 % แถมผู้ถือหุ้นรับปันผล 30 สตางค์ต่อหุ้น ผู้บริหารเผยคาดปีนี้เป้ากลับมาทะลุ 2,200 ล้านบาทแน่
นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ผู้ผลิต จำหน่าย และซ่อมบำรุง หม้อแปลงไฟฟ้าทุกขนาด เปิดเผยว่านับจากปี 2554 เป็นต้นไป บริษัทฯ มีแผนในการปรับนโยบายการดำเนินงานธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าของบริษัทฯ ในระยะเวลา 5 ปี จากนี้ไปจนถึงปี 2559 เพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าในภาคพื้นเอเชีย และโอชิเนีย ด้วยการออก 5 พันธกิจหลักในการดำเนินงาน ทั้งทาง
1. ด้านธุรกิจ จะใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิค ร่วมมือกับลูกค้าในการออกแบบเพื่อผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าที่มีคุณภาพให้เหมาะสมกับระบบและลักษณะงานของลูกค้า พร้อมทั้งพัฒนาระบบบริการครบวงจรเพื่อสนับสนุนการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าของลูกค้า พร้อมทั้งเพิ่มสายงานธุรกิจการจัดจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับระบบการผลิต และจำหน่ายพลังงาน และร่วมลงทุนในโครงการระบบผลิตพลังงาน
2.ทางด้านลูกค้า เพิ่มความพึงพอใจ และตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยคำนึงถึงคุณภาพ ราคาที่เหมาะสม กำหนดส่งที่ทันเวลาและการบริการที่ดี ทั้งยังมุ่งมั่นเพื่อให้เป็นบริษัทที่ลูกค้านึกถึงเป็นลำดับแรก เมื่อต้องการสินค้าและบริการด้านหม้อแปลงไฟฟ้า
3.ทางด้านบุคลากร บริษัทฯ จะส่งเสริมและพัฒนา และรักษาบุคลการให้มีความเชี่ยวชาญ พร้อมสร้างจิตสำนึกในการทำงานเป็นทีมเปี่ยมด้วยคุณภาพ รักษาคุณธรรม และคำนึงถึงลูกค้า
4.การกำกับดูแลกิจการ สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้น และปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดอย่างเป็นธรรม โดยบริษัทจะรักษาระดับให้อยู่ในระดับ CG Score 4 ดาว ให้ได้ตลอดระยะเวลา 5 ปี
และ 5. Corporate Social Responsibility (CSR) ความรับผิดชอบต่อสังคม โดยบริษัทฯ จะจัดตั้งเครือข่ายสังคมครอบครัวถิรไทยเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พร้อมทั้งบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่สังคม รวมถึงการส่งเสริมการเล่นกีฬาตะกร้อของอนุชนในชุมชนหรือสถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพให้สามารถพัฒนา ยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง กับการรักษาสิ่งแวดล้อม
นายสัมพันธ์ กล่าวต่อไปว่า จากการปรับแผนการดำเนินงานดังกล่าวคาดว่าบริษัทจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจทางด้านหม้อแปลงไฟฟ้าของไทยในตลาดสากลได้เป็นอย่างดี และเพื่อสร้างการเติบโตอีก 5 ปีข้างหน้าอย่างยั่งยืน ประกอบกับในปีที่ผ่านมา บริษัทฯได้รับใบอนุญาตแสดงเครื่องหมายมาตรฐานกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก. 384-2543 ครอบคลุมผลิตภัณฑ์หม้อแปลงไฟฟ้าทุกขนาดของบริษัทฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหม้อแปลงไฟฟ้าขนาด 300 MVA แรงดันไฟฟ้าสูงสุด 230KV ที่บริษัทฯ มีความภาคภูมิใจที่เป็น 1 ใน 2 บริษัท ที่สามารถผลิตได้ในประเทศ อีกทั้งในเดือนมกราคม 2554 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับ Credit Rating โดย TRIS อยู่ในระดับ BBB+ Stable อีกด้วย
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2553 มีรายได้สุทธิ เท่ากับ 142.73 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 78.02 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 35.34 โดยมีรายได้จากการขายหม้อแปลงไฟฟ้าอยู่ที่ 1,426.43 ล้านบาท ลดลง 721.01 ล้านบาทเมื่อเทียบกับปี 2552 เท่ากับ 2,147.44 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 33.58
ทั้งนี้รายได้จากการบริการประกอบด้วยการให้บริการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้า งานบริการแก้ไขซ่อมแซมหม้อแปลงไฟฟ้า งานบริการทดสอบหม้อแปลงไฟฟ้า งานบริการบำรุงรักษาหม้อแปลง และงานบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับหม้อแปลงไฟฟ้าในปี 2553 อยู่ที่ 65.61 ล้านบาท ลดลง 10.11 ล้านบาทเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 75.72 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13.35 เนื่องมาจากการชลอตัวของการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจในปลายปี 2551 ซึ่งเกิดขึ้นและมีผลกระทบกับเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์ด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่มาบตาพุด อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ทั้งสองข้างต้นได้คลี่คลายลงแล้วตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2553
นอกจากนี้บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นประจำปี 2553 รายได้จากการขายเท่ากับร้อยละ 27.67 สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับร้อยละ 24.70 และอัตรากำไรขั้นต้นจากรายได้การบริการ เท่ากับร้อยละ 70.61 สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับร้อยละ 59.30 เนื่องจากบริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยค่าใช้จ่ายในการขายเท่ากับ 74.17 ล้านบาท ลดลง 15.81 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.57 มีค่าใช้จ่ายในการบริหารเท่ากับ 157.18 ล้านบาท ลดลง 15.53 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.0 ค่าตอบแทนผู้บริหารเท่ากับ 32.53 ล้านบาท ลดลง 2.23 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.4 และบริหารต้นทุนทางการเงินเท่ากับ 25.88 ล้านบาท ลดลง 10.09 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 28.05
นายสัมพันธ์ กล่าวต่ออีกว่า ตามที่คณะกรรมการของบริษัทฯ ได้มีการประชุม และได้มีมติประกาศจ่ายเงินปันผลตามนโยบายที่จ่ายไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้และหักสำรองตามกฎหมาย โดยในปีนี้บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.30 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 78,889,219.80 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 55.27 โดยจะนำเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2554 เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
สำหรับทิศทางของบริษัทในปี 2554 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมประมาณ 2,200 ล้านบาท โดยมีงานในมือสำหรับส่งมอบในปี 2554 แล้วมากกว่า 1,100 ล้านบาท และบริษัทจะเข้าร่วมประมูลงานและเสนอราคาอย่างต่อเนื่องในมูลค่างานรวมมากกว่า 10,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นภาครัฐ 4,900 ล้านบาท ภาคเอกชนในประเทศมูลค่า 3,200 ล้านบาท และต่างประเทศกว่า 1,400 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯคาดว่าจะสามารถได้รับออร์เดอร์มากกว่า 2,100 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 20 ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปี 2554 ประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะรับรู้รายได้ในปี 2555 ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) จะคงรักษาระดับให้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านไม่น้อยกว่า 20 - 25 % ควบคู่กับการรักษาสัดส่วนตลาดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และมาตรการในด้านอื่นๆ เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ เพื่อการรักษาอัตราเติบโตของบริษัทฯ” นายสัมพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย
นำเสนอข่าวโดยบริษัทที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ บริษัท โฟร์ฮันเดรท จำกัด
รายละเอียดสอบถามเพิ่มเติมได้ที่คุณสิทธิกร เสงี่ยมโปร่ง
โทร. 02-553-3161-3 Email : sitikorn@4h.co.th ; www.4h.co.th