บลจ.ไทยพาณิชย์ แนะลงตราสารหนี้ระยะสั้น ป้องกันเงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งกองใหม่อีก 4 รุ่น ลง 3-6 เดือน ชูจ่ายยิลด์สูงสุด 2.60% ต่อปี

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday March 2, 2011 16:31 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--2 มี.ค.--PRdd นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยถึง กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ว่า จากความผันผวนของตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันและเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่ไม่เกิน 6 เดือน จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่นักลงทุนไม่ควรมองข้ามด้วยโอกาสรับผลตอบแทนสูงในสภาวะทิศทางดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีกจากภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน นางโชติกา กล่าวว่า เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ลงทุน บริษัทฯยังคงออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีกองทุนใหม่ออกมาอีก 4 กองทุน มีระยะเวลาลงทุน 3-6 เดือน ส่วนนโยบายการลงทุนจะมีให้เลือกทั้งที่เป็นเงินฝากธนาคารต่างประเทศผสมกับตราสารหนี้ระยะสั้นไทยเพื่อเพิ่มผลตอบแทน กับกองทุนที่ลงในตราสารระยะสั้นภายในประเทศอย่างเดียว โดยจะเสนอขายนับจากวันนี้ไปจนถึงวันที่ 7 มีนาคม 2554 ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท ในจำนวนนี้จะมีอยู่ 2 กองทุนที่เป็นการผสมเงินฝากธนาคารต่างประเทศกับตราสารหนี้ในประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ 6M9 (SCBFI6M9 ) อายุ 6 เดือน คาดผลตอบแทนประมาณ 2.60% ต่อปี มีนโยบายการลงทุนในเงินฝากธนาคารบาร์เคลย์ หรือ ธนาคาร HSBC หรือธนาคาร National Bank of Abu Dhabi ในสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (UAE)โดยมีอันดับความน่าเชื่อถือจากฟิทช์เรทติ้งส์ อยู่ที่ F1+ มีสัดส่วนการลงทุน 20% เงินฝากธนาคาร Union Nation Bank ในสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรสต์ อันดับความน่าเชื่อถืออยู่ ที่ F1 สัดส่วน 25% หุ้นกู้ระยะสั้นธนาคารทหารไทย และ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) อันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ F1/ F1+ สัดส่วน 50% ที่เหลือเป็นพันธบัตรรัฐบาลไทย 5% พร้อมปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) เรียบร้อยแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนตราสารหนี้ประเภทเดียวกันที่อยู่ในตลาดขณะนี้ ถือได้ว่ากองทุนดังกล่าวให้ผลตอบแทนที่ดีมาก นอกจากนี้ยังมีกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ 3M4 (SCBFI3M4) อายุ 3 เดือน คาดผลตอบแทนประมาณ 2.25% ต่อปี โดยเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล 30% เงินฝากธนาคารออมสิน 20% ส่วนที่เหลือลงทุนในหุ้นกู้ระยะสั้นและเงินฝากธนาคารต่างประเทศ ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตจากฟิทช์ เรทติ้งส์ อยู่ที่ F1 ในสัดส่วน 25% เท่ากัน คือหุ้นกู้ระยะสั้นธนาคารทหารไทย และเงินฝาก ธนาคาร Union National Bank ในสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ส่วนอีก 2 กองทุนที่เหลือจะเน้นลงทุนตราสารหนี้ภายในประเทศเพียงอย่างเดียว ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์พันธบัตรรัฐบาล 6M92 (SCBGB6M92) อายุ 6 เดือน ลงทุนตั๋วเงินคลังและเงินฝากประจำธนาคารไทยพาณิชย์ คาดผลตอบแทนประมาณ 2.00% ต่อปี และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์พันธบัตรและตราสารธนาคาร 28 (SCBGBANK28) อายุ 6 เดือน เน้นลงทุนในตั๋วเงินคลัง 56% ส่วนที่เหลือลงทุนในตั๋วแลกเงินธนาคารทหารไทย ตั๋วแลกเงินธนาคารกรุงศรีอยุธยา และตั๋วแลกเงินธนาคารกรุงไทย คาดผลตอบแทนประมาณ 2.10% ต่อปี “ในขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น เป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนควรหันมาให้ความสนใจลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสุทธิยังห่างจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะสั้น 3 เดือน และ 6 เดือน ถึง 1.1% และที่สำคัญการลงทุนในกองทุนรวมยังไม่ต้องเสียภาษี 15% เหมือนดอกเบี้ยเงินฝากด้วย” นางโชติกา กล่าว สำหรบผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขา ตัวแทนจำหน่าย และ SCBAM Call Center โทร.02-777-7777 กด 0 กด 6

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ