กรุงเทพฯ--8 มี.ค.--ทาร์เก็ตมีเดียแอนด์ทเลเวิชั่น
บันทึก จดจำ และบอกเล่า ประสบการณ์ครั้งหนึ่งของชีวิตกับการเดินทางในรูปแบบคาราวานรถยนต์สู่ดินแดนประวัติศาสตร์อินโดจีน ผ่าน 3 ประเทศไทย- ลาว-เวียดนาม กับ BANGKOK AUTO JAM CARAVAN TO INDOCHINA 2011 คาราวานครั้งที่ 11 ของ รายการรถยนต์ บางกอก ออโต้แจม ออกอากาศทางช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ ทีวี
วันที่ 1 ของการเดินทาง
เปิดบันทึกเส้นทางประวัติศาสตร์บนดินแดนอินโดจีน
บางกอก-อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี (627 กิโลเมตร)
ในทริปนี้ผมเดินทางแบบครอบครัวครับ หิ้วทั้งศรีภรรยาและลูกชายจอมแซ่บวัยซน เราออกจากกรุงเทพฯ ไปยังจุดหมายวันแรกด้วย SsangYong KORANDO รถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบอเนกประสงค์รุ่นใหม่สุด หน้าตาดูดีที่ บริษัท ซันยอง ประเทศไทยฯ จัดมาให้ผมใช้เดินทางและทดสอบตลอด 7 วัน ก่อนที่รถคันนี้จะไปจอดโชว์ความเป็นนักเดินทางตัวจริงในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ที่กำลังจะมาถึง
ภายในห้องโดยสารของ SsangYong KORANDO กับขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ด้วยเบาะนั่งหนังแท้ปรับด้วยระบบไฟฟ้าด้านคนขับและเบาะคู่หน้าแบบอุ่นด้วยระบบไฟฟ้า ทำให้การเดินทางจาก กรุงเทพฯ-สระบุรี-นครราชสีมา-บุรีรัมย์-สุรินทร์-ศรีสะเกษ และเข้าสู่อุบลราชธานี ที่ใช้เวลาอยู่ในรถกว่า 8 ชั่วโมง ผมและครอบครัวนั่งยืดแข้งยืดขากันได้สบายๆ ไม่อึดอัด และไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง จนไปถึงจุดสตาร์ทของคาราวานที่โรงแรมแก่งสะพือรีเวอร์ไซด์ อ.พิบูลมังสาหาร ซึ่งในทริปนี้มีสมาชิกคาราวานที่ร่วมเดินทางทั้งสมาชิกเก่าและสมาชิกใหม่รวมกว่า 50 ชีวิตกับคาราวานรถยนต์อีกรวม 17 คัน สมาชิกคาราวานทั้งหมดร่วมรับประทานอาหารค่ำริมแม่น้ำมูลที่โรงแรมพร้อมกัน และฟังสรุปข้อมูลการเดินทางก่อนแยกย้ายกันไปเตรียมรถเตรียมคนให้พร้อมเพื่อการผจญภัยในวันรุ่งขึ้น
วันที่ 2 ของการเดินทาง
สะบายดี…ปากเซ-ม่วนซื่น…ที่คอนพะเพ็ง
อุบลฯ-ปากเซ-คอนพะเพ็ง-อัตตะปือ (320 กิโลเมตร)
จากตัวเมือง อ.พิบูลมังสาหาร จุดสตาร์ทคาราวานใช้เส้นทางตามทางหลวงหมายเลข 217 วิ่งไปจนสุดทางที่จุดผ่านแดนถาวรไทย-ลาวที่ ช่องเม็ก จุดผ่านแดนจุดเดียวในภาคอีสานที่สามารถเดินทางไปประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวโดยทางพื้นดิน ไม่ต้องรอข้ามแพขนานยนต์เหมือนจุดอื่นให้เสียเวลา เมื่อผ่านพิธีการที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองและข้ามไปทางฝั่งลาว จุดนี้ขบวนคาราวานต้องให้สมาชิกในรถทั้งหมดเดินข้ามแดน ส่วนในรถยนต์ที่ขับข้ามแดนไปก็จะมีเพียงแค่คนขับนั่งประจำการเท่านั้น เราแวะตุนเสบียงกันเพิ่มเติมครับ ที่ร้านค้าปลอดภาษีที่ด่าน เรื่องสำคัญอีกอย่างที่อยากบอกคือ เรื่องห้องน้ำครับ ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้จัดการเข้ากันเสียให้เรียบร้อยเลย อย่ามารอเข้าที่ด่าน เพราะห้องน้ำที่ด่านมีน้อยแถมคิวยาวมาก ยิ่งถ้าปวดหนักนี่จบข่าวเลยนะครับ
ก่อนออกจากด่านนี้มาสมาชิกคาราวานทุกคันก็ต้องปรับโหมดการขับรถให้เข้ากับกฎจราจรของลาว นั่นคือ การขับรถต้องชิดเลนขวา ส่วนการแซงต้องแซงซ้าย รถพวงมาลัยขวาอย่างรถบ้านเราก็อาจตื่นเต้นหน่อยหากต้องการแซง แต่ไม่ต้องกังวลกัน ณ จุดนี้ เพราะคาราวานของเรามีผู้นำหมายเลขรถ 01 คอยบอกจังหวะรถให้เป็นระยะ เราขับรถตามกันมาเรื่อยๆ ระหว่างทางจะเห็นทิวทัศน์ชนบทของลาวเหมือนเดินทางย้อนยุคมาสู่อดีตเมื่อหลายสิบปีก่อนของบ้านเรา ชาวนาของลาวยังใช้แรงงานจากคนและวัว-ควาย ประชากรส่วนใหญ่ยังทำนาและทำกันเองทั้งครอบครัวไม่มีการจ้างแรงงาน พ้นจากด่านมาตามถนนลาดยางอีกเพียงแค่ 42 กิโลเมตร คาราวานของเราก็เข้าสะบายดีเมือง ปากเซ (Pak Se) เมืองค้าขายและเมืองเศรษฐกิจสำคัญของลาวตอนใต้ในแขวงจำปาสัก ไกด์ลาวบอกว่า หากแขวงจำปาสักเป็นเหมือนจังหวัดแล้ว ปากเซก็เปรียบเหมือนเป็นอำเภอเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการ และมีความเจริญกว่าอำเภออื่นๆ ส่วนคนที่นี่จะประกอบด้วยคน 3 ชนชาติ ได้แก่ ลาว จีน และเวียดนาม ซึ่งอพยพเข้าประเทศลาวในยุคที่เป็นประเทศสังคมนิยม
ห่างจากปากเซลงไปทางใต้สักระยะหนึ่งเราก็เข้าสู่เขต เมืองจำปาสัก เมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงที่สุดของลาวที่คนทั่วโลกใฝ่ฝันอยากจะมาเห็นด้วยตาตัวเอง นั่นก็คือ น้ำตกคอนพะเพ็ง ที่ตั้งอยู่ในดินแดนพันเกาะกลางแม่น้ำโขงที่มีนามว่า สี่พันดอน น้ำตกนี้ได้รับสมญานามจากนักเดินทางว่าเป็น “ไนแองการ่า แห่งเอเชีย” เพราะ ณ จุดนี้เป็นจุดที่มหานทีทั้งสายทิ้งตัวลงสู่หุบเหวเบื้องล่างอย่างเกรี้ยวกราด ขนาดสามารถทำลายเรือขนาดเล็ก-ใหญ่ได้ในพริบตาเดียว กระแสน้ำขาวใสไหลแรงตัดกับท้องฟ้าสีครามดูเหมือนน้ำตกจากสรวงสวรรค์ เห็นกับตาแล้วต้องยอมรับเลยว่ายิ่งใหญ่สมคำร่ำลือจริงๆ ซึ่งเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 ยุคที่ฝรั่งเศสครอบครองประเทศลาวนั้นไม่สามารถลำเลียงขน ทรัพยากรต่างๆ ผ่านจุดนี้ไปได้เลย ก็เพราะลาวมีน้ำตกนี้เป็นสันเขื่อนกำแพงธรรมชาติที่กรองแม่น้ำโขงที่ไหลเชี่ยวกรากด้วยแก่งโขดหินต่างๆ สิ่งที่ลอดพ้นออกมาได้ก็มีแต่ปลาหรือสัตว์น้ำอื่นๆ เท่านั้น ทำให้ฝรั่งเศสต้องสร้างทางรถไฟขึ้นมาลำเลียงข้าวของในเส้นทางอื่นแทน
มีความเชื่อกันครับว่า บริเวณเกาะบนน้ำตกมีพันธ์ไม้ชนิดหนึ่งชื่อว่า ต้นมณีโคตร ซึ่งถ้าใครได้กินผลของต้นมันนั้นจะมีชีวิตยืนยาว แต่ด้วยความแรงของกระแสน้ำจึงไม่มีใครสามารถผ่านไปเด็ดผลที่เกาะบนน้ำตกได้เลยครับ แล้วใครจะกล้าไปเอาเน๊าะ!!
ที่ตัวน้ำตกจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนที่สุดจาก ศาลาไม้ ที่สร้างไว้บนเหนือบริเวณที่กระแสน้ำไหลบ่าถาโถมลงมารวมตัวกันพอดี ซึ่งแม้นักท่องเที่ยวจะเข้าคิวเพื่อถ่ายรูปกับมุมนี้เป็นจำนวนมาก แต่สมาชิกคาราวานของเราก็รอได้ แต่หากต้องการสัมผัสความยิ่งใหญ่ของน้ำตกอย่างใกล้ชิดจากศาลาไม้ก็มีทางเดินลงมาชมบริเวณตัวน้ำตกในอีกมุม
ที่น้ำตกนี้บรรยากาศรวมๆ โดยรอบคล้ายน้ำตกดังๆ ในบ้านเราคือ เต็มไปด้วย ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกแม่ค้าหาบเร่ ที่จำปาสักยังมีทรัพยากรทางการท่องเที่ยวที่น่าดูน่าชมอีกเป็นจำนวนมาก อาทิ น้ำตกหลี่ผี น้ำตกตาดฟาน น้ำตกตาดผาส้วม น้ำตกตาดเยือง แต่ต้องใช้เวลาในการนั่งเรือไปชม เราไม่ได้ไปสัมผัส แต่แค่สาละวนใต้ต้นจำปาที่นี่ที่เดียวเราก็ประทับใจมากแล้ว
คาราวานของเราเดินทางกันต่อจนไปถึงโรงแรมที่พักที่เมือง อัตตะปือ (Attapeu) ในช่วงเย็น คำว่า “อัตตะปือ” แปลว่า "ขี้ควาย" เป็นภาษาของชนเผ่าละแว เมื่อก่อนเรียกว่า "อิตตะปือ" ต่อมาเพี้ยนเป็น “อัตตะปือ” ที่นี่คือดินแดนที่สมบูรณ์ไปด้วยเนื้อที่ผลิตกสิกรรมป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ เป็นแขวงสุดท้ายอยู่ใต้สุดติดชายแดนเวียดนามและกัมพูชาของประเทศลาว น้อยคนไทยที่จะมาเที่ยวถึง ที่นี่มีชาวเวียดนามอยู่เกิน 50% คนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่ต้องการใช้เป็นทางผ่านเพื่อไปเวียดนาม เรารับประทานมื้อค่ำที่โรงแรมก่อนแยกย้ายกันพักเหนื่อยจากการเดินทาง ที่ด้านหน้าของโรงแรมที่เราพักมีอนุสาวรีย์สีขาวรูปปั้นของท่านประธาน ไกสร พรหมวิหาร อดีตประธานาธิบดีของลาวตั้งอยู่กลางลานสนามกว้างที่เอาไว้ให้ชาวบ้านใช้จัดพิธีการสำคัญๆ ของเมืองเราเองก็ไม่พลาดที่จะชม
วันที่ 3 ของการเดินทาง
หลงเสน่ห์ดานัง เมืองท่าประวัติศาสตร์
อัตตะปือ-ฮอยอัน-ดานัง (350 กิโลเมตร)
วันนี้คณะคาราวานต้องเดินทางไกลกว่าเมื่อวานเพราะเราจะเดินทางข้ามประเทศจากอัตตะปือของลาวไปที่ด่านพูเกือ และเข้าสู่เขตประเทศเวียดนาม เส้นทางจากลาวสู่ด่านชายแดนเวียดนามดูเหมือนไม่ไกล แต่ใช้เวลาเดินทางนานพอดู เพราะต้องระวังสัตว์เลี้ยงตามริมถนน เช่น แพะ วัว ควาย หมู และสุนัข ซึ่งพบเห็นอยู่มากตลอดทาง พอมาถึงด่านชายแดนโบอี ตรงจุดนี้เราไม่ลืมที่จะร่ำลากับไกด์ลาว รวมทั้งแลกเงิน “ด่อง” เงินเวียดนามเพื่อความพร้อมในการช้อปฯ อัตราแลกเปลี่ยนเงินอยู่ที่ 420-460 ด่อง ต่อ 1 บาท เรียกว่าแลกกันทีหอบเงินล้านขึ้นรถกันเป็นแถว และเราก็ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปหมู่คาราวานโดยพร้อมเพรียงเพื่อเป็นหลักฐานการเป็นนักเดินทางที่ด่านนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจเอกสารเรียบร้อยเราก็ออกเดินทางต่อ ที่เวียดนามคาราวานยังคงขับรถชิดขวาเหมือนกับที่ลาว แต่เสียงแตรจะดังมากขึ้นตลอดการเดินทางเพราะที่นี่เขาใช้ สัญญาณแตรเตือนกันตลอดเวลาขับรถ ยิ่งผ่านเขตชุมชนยิ่งดังถี่ทั้งจากคณะคาราวานเองและคนท้องถิ่น พ้นด่านมาสักพักเราแวะทานมื้อกลางวันที่เป็นอาหารมื้อแรกในเวียดนาม บรรยากาศร้านและความสะอาดไม่ต้องพูดถึงครับ นี่ยังไม่นับรวมเรื่องรสชาตินะเนี่ย.. แต่โชคดีที่คาราวานเราพร้อม เตรียมน้ำพริกหลากหลายสูตรจากเมืองไทยมาเพิ่มรสชาติอาหาร เฮอะ.. รอดไปอีกมื้อ ข้างๆ ร้านที่เราทานอาหารเป็นร้านตัดผมท่านชายแบบเวียดนามที่ช่างผู้ให้บริการจะเป็นวัยรุ่นสาวๆ แหม.. เห็นแล้วอยากจะแวะตัดผมจริงๆ
เราขยับเดินทางต่อและแวะเติมน้ำมันรถที่ปั๊มในเวียดนามเป็นครั้งแรกในวันนี้ น้ำมันที่นี่ก็เหมือนบ้านเราครับ เพียงแต่ทางเลือกจะน้อยกว่าประเภทแก๊สโซฮอล์ไม่มีครับ หลักๆ ก็มีแค่เบนซิน 95 ที่เรียกว่า ”Mogas 95” กับ “Mogas 92” กับน้ำมันดีเซลที่ SsangYong KORANDO คันนี้ใช้เติม ราคาลิตรละ 14,850 ด่อง ประมาณ 33 บาท โห…แพง ปีที่แล้วมาเติมอยู่ที่ 14,790 ด่องเอง
เมื่อเข้าเขตเวียดนามสักพักใหญ่เราก็ได้สัมผัสอากาศเย็นๆ แบบที่หาได้ยากในบ้านเรา เพราะที่เวียดนามมีฝนจากลมทะเลมาปะทะกับลมบกตลอดทั้งปี ต่างจากลาวที่แล้งตลอดปีเช่นกันเพราะแนวเทือกเขาสูง เส้นทางที่เราใช้เดินทางนี่แหละกั้นลมไว้ เส้นทางผ่านทั้งสันเขาและทางราบ ได้ชมธรรมชาติ 2 ข้างทาง ชุมชนสลับกับภาพวิถีชีวิตผู้คนตลอดทาง ถนนเลนสวนที่แคบ บ้านหน้าแคบๆ แถมสียังทาด้านเดียวแบบเวียดนามสไตล์ มีรถบรรทุกรถบัสประจำทางสุดซิ่ง มอเตอร์ไซค์ที่ขี่กันแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว จักรยาน และคนเดินถนนให้ต้องคอยระวัง รวมถึงสุสานริมถนน เป็นภาพชินตาของการเดินทาง เรียกว่าบนเส้นทางที่เราเดินทางอยู่นั้นได้เห็นทั้งชีวิตคนเป็นและชีวิตคนตาย อ้าว..ขับไปเพลินๆ ไงได้เห็นสัจธรรมของชีวิตซะงั้น บางจังหวะที่ต้องเร่งแซง เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลคอมมอนเรล ขนาด 2,000 CC กับแรงม้าที่มี 175 ตัว ที่ 4,000 รอบ/นาที ของ SsangYong KORANDO เรียกกำลังเครื่องยนต์ได้ทันใจ ส่วนเกียร์แบบธรรมดา 6 จังหวะ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ก็ทำให้การขับขี่ได้อารมณ์นักแข่งยังไงยังงั้น จนกระทั่งถึงเมืองดานัง เสน่ห์ของเวียดนามกลาง
ล้อมกรอบ
ดานังตำนานแห่งสงคราม
ดานังเป็นเมืองใหญ่ติดทะเล จากโรงแรมมองเห็นตึกรามบ้านช่องของเมืองไกลลิบอยู่เบื้องล่าง เป็นภาพที่สวยงาม แต่ไม่น่าเชื่อนะครับว่าในอดีตที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แต่เมื่อแม่น้ำทูโบนตื้นเขิน ดานังจึงถูกพัฒนาขึ้นมาแทนที่จนกลายเป็นเมืองท่าสำคัญในทุกวันนี้ ดานังที่เราจะไปเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเวียดนาม ตั้งอยู่ที่จังหวัดกวางนาม อยู่กึ่งกลางระหว่างกรุงฮานอย กับโฮจิมินห์พอดิบพอดี เป็นเมืองเศรษฐกิจและเป็นเมืองท่าที่สำคัญของเวียดนามกลาง ปัจจุบันดานังกำลังได้รับการพัฒนาเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในอดีตดานังเป็นเมืองท่าและเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการทหารที่สำคัญ ตั้งแต่สมัยฝรั่งเศสส่งกองเรือมาขึ้นฝั่งที่นี่เพื่อยึดเวียดนามในเดือนสิงหาคม พ. ศ. 2398 รวมถึงในสมัยสงครามเวียดนาม กองทัพสหรัฐฯ ก็นำนาวิกโยธิน ยกพลขึ้นบกครั้งแรกที่นี่เช่นกันเพื่อปลดแอกเวียดนามจากพวกเวียดกง ในปัจจุบันยังมีฐานที่มั่นของสหรัฐฯ ปล่อยรกร้างทางแถบชายฝั่งทะเลให้เห็น ... ดูๆ ไปดานังก็คล้ายกับพัทยาบ้านเรานะครับที่เจริญเติบโตมาจากทหารอเมริกันที่มาประจำการ
เสน่ห์อีกอย่างของดานังอยู่ที่เป็นเมืองติดทะเลมีภูมิทัศน์ตามธรรมชาติอันงดงาม ชายหาดที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมีหลายหาดทั้ง MY Khe, Nam O, และ Bac My มีถนนเลียบชายทะเลยาวหลายกิโล ถนนที่วิ่งไปสู่ อ่าวตังเกี๋ย ที่มีชื่อเสียงเพราะข่าวพยากรณ์อากาศรายงานว่าพายุเข้าที่อ่าวนี้อยู่บ่อยๆก็อยู่ที่นี่รวมทั้งยังมีหมู่บ้านชาวประมงและไร่นาที่เขียวขจีอยู่ 2 ข้างทาง ยิ่งถนนในเมืองส่วนใหญ่จะเป็นถนนแบบ 4 เลน มีเกาะกลางแบ่งเพื่อความปลอดภัยและดูสวยงาม ดูดีกว่าถนนในเมืองใหญ่เมืองอื่นๆ ในเวียดนามที่ผมเคยเห็นมา จนมีผู้กล่าวว่าถนนที่สวยที่สุดในเวียดนามอยู่ที่ดานัง ซึ่งตัวผมเองก็เห็นด้วย
วันที่ 4 ของการเดินทาง
ตะลุยเมืองฮอยอัน "ฮอยอัน..ฉันรักเธอ"
เมืองประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต
ฮอยอันเป็นเมืองโบราณเล็กๆ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำทูโบน ห่างจากเมืองดานังเพียง 25 กิโลเมตรใน อดีตเมื่อ 200-300 ปีก่อนเคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพ่อค้าทั้งชาว จีน ญี่ปุ่น และโปรตุเกสนำเรือสินค้าเข้ามาขาย ทำให้ฮอยอันเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก ต่อมาปากแม่น้ำทูโบนเกิดตื้นเขินจนเรือเข้าท่าไม่ได้ ประกอบกับแม่น้ำเปลี่ยนทางจึงมีการสร้างท่าเรือที่ดานังขึ้นมาแทนที่จนถึงปัจจุบัน
บรรยากาศของที่นี่เงียบสงบ ประกอบด้วยถนนเล็กๆ แคบๆ กับบ้านโบราณและตึกเก่าที่เคยเป็นร้านค้าริมถนน วัดเซน (วัดญี่ปุ่น) ศาลเจ้า (แบบจีน) ถนนที่เต็มไปด้วยร้านขายสินค้าให้ได้ซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึก ทั้งงานแกะสลักไม้ โคมไฟจากผ้าไหมหลากสี ภาพวาดที่สะท้อนวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวฮอยอัน มีซอกซอยเล็กๆ สร้างสีสันให้น่าเดินเล่นเป็นอันมาก ยิ่งในยามค่ำคืนแล้วสว่างไสวสวยงาม... การชมเมือง จะเลือกเดินเท้า เช่าจักรยาน หรือใช้บริการสามล้อถีบก็ได้เช่นกัน เนื่องจากฮอยอันเป็นเมืองเล็กๆ มีเพียงแค่ถนนที่ขนานกัน 2 สายเป็นเส้นหลักและอีกสายคือ ถนนที่อยู่ริมแม่น้ำ
ฮอยอันเป็นเมืองโบราณจึงมีบ้านเก่าแก่อยู่หลายหลัง เอกลักษณ์ของบ้านไม้เก่าก็คือ ส่วนหน้าบ้านจะอยู่ติดกับถนนอีกสายหนึ่งและหลังบ้านจะอยู่ติดกับถนนอีกสายหนึ่งส่วน บริเวณหลังบ้านจะยาวมาก ภายในตกแต่งด้วยไม้แกะสลักงดงาม และหน้าบ้านจะดัดแปลงมาเป็นร้านค้าขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว บ้านประจำตระกูลเก่าแก่ที่ยังคงงดงาม มีให้เห็นอยู่หลายหลัง โดยเฉพาะ บ้านเลขที่ 101 (Old House No.101) ของคนจีนในตระกูล Tan Ky นับเป็นบ้านไม้ที่เก่าแก่และสวยงามที่สุดของเมืองฮอยอัน สร้างขึ้นมาเมื่อ 75 ปีที่แล้ว และอยู่กันมา 6 ชั่วอายุคน ตัวบ้านมี 2 ชั้น จุดเด่นของบ้านคือ หลังคาทรงกระดองปูทำด้วยไม้แกะสลัก หลังคาทรงนี้แหละครับที่เป็นลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมแบบฮอยอัน ภายในแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างลงตัว มีทางเดินเชื่อมต่อส่วนต่างๆ ของบ้านเข้าด้วยกันมี ในบ้านมีพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระพี่นางเมื่อครั้งทรงเสด็จประพาสติดโชว์อยู่ด้วย กลางบ้านมีสวนและลานที่เปิดโล่งมองเห็นท้องฟ้าได้บรรยากาศ บ้านโบราณยังมีอีกหลายหลัง เช่น บ้านเลขที่ 77 ซึ่งเป็นบ้านของลูกหลานชาวจีนเก่าแก่อายุเกือบ 80 ปี ภายในใช้เครื่องไม้ประดับตกแต่งอย่างงดงาม บ้านเลขที่ 22 บ้านเก่า 2 ชั้น ของชาวจีนที่ สร้างมาเกือบ 90 ปีแล้ว ภายในแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ บ้านไม้และบ้านปูนเก่าสร้างอย่างประณีต
อีกจุดที่ถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองฮอยอันคือ สะพานญี่ปุ่น (Japanese Covered Bridge) สร้างโดยชุมชนชาวญี่ปุ่นเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว สะพานมีรูปทรงโค้งหลังคามุงด้วยกระเบื้องสีเขียวและเหลืองเป็นคลื่น บนกลางสะพานมีศาลเจ้าเล็กๆ ใช้เป็นที่สวดส่งวิญญาณมังกรตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น มีเทวรูปสัตว์ สุนัข ลิง เฝ้าอยู่ที่ปากสะพานทั้ง 2 ด้าน เมื่อเดินข้ามสะพานมายังอีกฟากหนึ่งของเมือง จะพบกับบ้านเรือนเก่าสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ตลอดจนร้านสไตล์อาร์ตแกลอรี่ริมถนนคนเดินทั้ง 2 ฟากฝั่งถนน
วันที่5 ของการเดินทาง
อำลาดานัง ไปเยือนนครแห่งจักรพรรดิ เมืองเว้ (Hue)
ดานัง-เว้ (350 กิโลเมตร)
คาราวานออกเดินทางจากดานังสู่เว้ ตามทางหลวงหมายเลข 1 หากใครได้มาเห็นก็เชื่อว่าจะดื่มด่ำและเพลิดเพลินกับธรรมชาติตลอดเส้นทางถนนเลียบชายฝั่งทะเลหลายสิบกิโลเมตร บริเวณนี้เป็นแหล่งประมงน้ำกร่อยที่สำคัญแห่งหนึ่งของ เวียดนาม นอกจากจะเห็นทะเลที่คู่ขนานไปกับทางหลวงแล้ว ก็ยังเห็นเรือกสวนไร่นาทั้ง 2 ฝั่งถนน เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเวียดนามที่พื้นที่ทุกตารางนิ้วจะมีแต่ความเขียวขจีจากการเพาะปลูกจนแทบไม่มีที่ว่างให้เห็น ช่วงการเดินทางมีฝนฟ้าโปรยปรายเป็นระยะๆ คล้ายฤดูฝนในบ้านเรา นึกในใจว่าโชคดีที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น ชนิดที่เย็นตาเย็นใจกันจริงๆ หมู่บ้านเล็กๆ ในชนบท ท้องทุ่ง และสายธาร ภาพแบบนี้หาดูได้ยากทีเดียว แต่เวียดนามยังเป็นประเทศเกษตรกรรมเต็มรูปแบบจึงเห็นภาพลักษณะนี้ในทุกพื้นที่ หากใครอยากมาเห็นชีวิตชนบทที่แท้จริง ก็ขอแนะนำให้มาที่เวียดนาม...เราแวะไปดูร้านขายผลิตภัณฑ์จากหอยมุก ฟังบรรยายเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับมุก ทั้งการดูมุกแท้กับมุกปลอม ความต่างของมุกเลี้ยงกับมุกธรรมชาติโดยวิทยากรสาวไทย จากนั้นก็ละลายเงินด่องด้วยการช้อปฯ ที่นี่ซะหน่อยก่อนออกเดินทางต่อ
ไม่นานเราก็มาถึง อุโมงค์รถยนต์ลอดภูเขา "ไฮ่เวิน" (Hai Van Pass) สู่เมืองเว้ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ความยาวของอุโมงค์ 6.3 กิโลเมตร ยาวที่สุดในเอเชียใต้ ใช้เวลาลอดอุโมงค์ประมาณ 20 นาที โดยกำหนดความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตร ก่อสร้างโดยเอกชนจากญี่ปุ่น ส่วนรัฐบาลฝรั่งเศสเป็นผู้ลงทุนด้านงบประมาณ นับว่าคุ้มค่าที่ได้มาเห็นจริงๆ ใช้เวลาอีกไม่นานคาราวานก็มาถึง เมืองเว้ (Hue) อดีตเมืองที่เคยรุ่งเรืองและมั่งคั่งไปด้วย ศิลปวัฒนธรรมที่ตั้งอยู่ในภาคกลางของเวียดนาม มีแม่น้ำซงเฮือง หรือแม่น้ำหอมไหลผ่านกลางเมือง ที่นี่คือเมืองหลวงเก่าในสมัยราชวงศ์เหวียนและได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของพระราชวังต่างๆ จนได้รับขนานนามว่า "นครจักรพรรดิ" เป็นเมืองเก่าคล้ายอยุธยาบ้านเรา ที่นี่เป็นศูนย์กลางด้านวัฒนธรรมอันเป็นต้นกำเนิดของชุดอ่าวหญ่าย หรือชุดประจำชาติ
ที่เว้เรานั่งสามล้อชมเมืองซึ่งที่นี่เรียกว่า ซิกโล่ (Cy Clo) เวลานั่งอาจจะเสียวๆ หน่อย เพราะคนนั่งอยู่ข้างหน้าคนขี่อยู่ด้านหลัง ไม่เหมือนสามล้อบ้านเรา คนขับซิกโล่พาเราไปที่พระราชวังต้องห้าม (The Purple Forbidden City) ด้านหน้าทางเข้าวังจะมี เสาธงที่สูงที่สุดในเวียดนาม ตั้งอยู่ เสาสูงถึง 37 เมตร จนเคยถูกพายุพัดหักถึง 2 ครั้ง 2 ครา ประวัติศาสตร์จารึกว่าช่วงถูกฝรั่งเศสโจมตีนั้น กองทัพเว้ยังยืนหยัดต่อสู้รักษาป้อมให้ธงบนยอดเสาโบกสะบัดได้ยาวนานถึง 3 สัปดาห์ครึ่ง กระทั่งกองทัพใต้และทหารอเมริกันกลับมาช่วงชิงคืนได้ เกือบลืมบอกที่นี่อากาศหนาวดีจัง
ล้อมกรอบ
เว้อาณาจักรผู้ยิ่งใหญ่แห่งเวียดนาม
พระราชเว้ หรือ พระราชวังหลวง หรืออีกชื่อคือ พระราชวังต้องห้าม (The Purple Forbidden City) ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอม สร้างในสมัยจักรพรรดิยาลอง Gia Long องค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหวียน ในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 และเป็นที่ประทับของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหวียนต่อเนื่องถึง 13 พระองค์ ยาวนาน 150 ปี การสร้างพระราชวังนี้ใช้หลักความเชื่อของจีน โดยเลียนตามแบบพระราชวังต้องห้ามของประเทศจีน ตัวพระราชวังมี 2 ชั้น มีกำแพงกั้นระหว่างพระราชวังกับพระราชฐานด้านใน หลังกำแพงชั้นในเป็นเขตหวงห้าม ไม่ให้สามัญชนล่วงล้ำเข้าไปข้างในเขตพระราชฐาน กำแพงสีเหลืองนี้ล้อมรอบพระราชวังด้านในเอาไว้รอบด้าน มีประตูทางเข้าพระราชวังหลายประตู ประตูที่คาราวานเดินเข้าไปชมวังเรียกว่า ประตูเที่ยงวัน (Ngo Mon Gate) เป็นประตูใหญ่ทำจากหินแกรนิต ชั้นบนเป็น พระที่นั่งหงส์ทั้ง 5 หลังคามุงด้วยกระเบื้องสีเหลืองสดขลิบด้วยสีเขียวที่เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ยามเสด็จออกสู่มหาสมาคมในงานราชพิธี พระที่นั่งองค์นี้คือสถานที่ประวัติศาสตร์ เพราะ จักรพรรดิเบาได๋ กษัตริย์องค์สุดท้ายของเวียดนามทรงมอบดาบอาญาสิทธิ์และอำนาจการปกครองเวียดนามให้กับ โฮจิมินห์ นับเป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์เหวียน และการปกครองในระบอบกษัตริย์ในเวียดนามในปี พ.ศ. 2488 ซึ่งต่อมาลุงโฮ ผู้นำรัฐบาลสังคมนิยมก็ได้ประกาศเอกราชเวียดนามจากการเป็นประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศส
พระราชวังที่สวยและยังสำคัญที่สุดในพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ คือ พระราชวังไทฮวา เป็นสถานที่สำหรับรับรองเชื้อพระวงศ์ระดับสูงและทูตานุทูตจากต่างประเทศที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับเวียดนาม ก่อสร้างอย่างวิจิตรบรรจงด้วยศิลปะจีนกับศิลปะเวียดนาม ตกแต่งเพดานและคานด้วยลวดลายสีทองและน้ำครั่งสีแดง ในพระราชวังต้องห้ามยังมีตำหนักสำคัญ เช่น ตำหนักทรงอักษร ตำหนักทรงสำราญ...น่าเสียดายพระราชวังแห่งนี้ถูกพิษของสงครามเล่นงานอย่างหนัก ทั้งจากการเผาของฝรั่งเศสทำให้ได้รับความเสียหายเป็นอันมาก จนกลายเป็นพระราชวังร้าง ครั้นถึงสมัยสงครามเวียดนามก็ถูกเครื่องบินสหรัฐฯ ทิ้งระเบิด เนื่องจากเป็นที่ซ่องสุมของพวกคอมมิวนิสต์ เมื่อสงครามสงบ Unesco จึงเข้ามาบูรณะ และได้ขึ้นทะเบียนไว้เป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรมเมื่อปี พ.ศ. 2536
จากวังเราไปเที่ยววัดกันต่อครับ ชื่อว่า วัดเทียนมู่ ที่แปลว่า “เทพธิดาสวรรค์” มีที่ตั้งอยู่บนทำเลอันโดดเด่นบนริมฝั่งแม่น้ำหอมที่สวยงาม วัดเทียนมู่ เป็นพุทธสถานนิกายเซน... เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ .ศ. 2506 วัดนี้ก็มีเรื่องฮือฮาไปทั่วโลก เนื่องจากเจ้าอาวาสที่ชื่อว่า Thick Quang Doc เดินทางจากวัดนี้ไปยังกรุงไซ่ง่อน เมืองหลวงของเวียดนาม โดยรถออสติน เมื่อไปถึงก็ลงจากรถแล้วก็ใช้มันราดตัวเองและจุดไฟเผาในท่านั่งสมาธิเพื่อประท้วงนโยบายของรัฐบาลโงดินเดียมห์ ที่ริดรอนอิสรภาพในการนับถือศาสนา โดยมีนโยบายให้ประชาชนนับถือศาสนาคริสต์แทนศาสนาพุทธ ซึ่งต่อมาก็ได้ยกเลิกนโยบายนี้ หลังจากมรณภาพแล้วก็พบว่าหัวใจของท่านไม่ได้มอดไหม้ไปกับกองเพลิง จึงได้นำมาเก็บรักษาไว้ที่สถูปทองคำภายในวัด ส่วนรถออสตินที่ท่านใช้เป็นพาหนะก็ยังถูกเก็บรักษาไว้เช่นกัน ที่วัดเทียนมู่มีเจดีย์เก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองที่ชาวเวียดนามนับถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำชาติ ลักษณะเป็น เจดีย์ทรง 8 เหลี่ยม 7 ชั้น แต่ละชั้นถือว่าเป็นตัวแทนแต่ละภพของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ภายในวัดยังมี ระฆังทองสัมฤทธิ์ใบใหญ่หนักถึง 2 ตัน ซึ่งหากตีแล้วจะได้ยินไปไกลถึง 10 กิโลเมตร
จากนั้นสมาชิกคาราวานไป ล่องเรือมังกรสองหัว ชมสองฝั่งในแม่น้ำหอม (Song Houng River) ไกด์เวียดนามกระซิบบอกว่าเรือนี้ถ้าเป็นในสมัยก่อนสามัญชนขึ้นไม่ได้นะจ๊ะ ขึ้นได้เฉพาะเชื้อพระวงศ์ก็ยิ่งทำให้เราตื่นเต้นกว่าได้นั่งเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาสซะอีก อากาศตลอดวันนี้ของที่เว้หนาวครับ นานๆ ครั้งจะได้เจออากาศเย็นๆ อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เรือพาเราชมวิวเมืองไปอย่างช้าๆ และเทียบท่าให้เราที่ ตลาดดองบา แหล่งช้อปปิ้งของเมืองเว้ ในช่วงค่ำหลังจากเที่ยวเมืองเว้กันทั้งวัน ผู้จัดอย่างรายการ บางกอกออโต้แจม มีงานเลี้ยงขอบคุณและพิธีมอบใบประกาศการันตีความเป็นนักเดินทางตัวจริงให้แก่สมาชิกผู้ร่วมเดินทาง และโชว์เพลงแบบเวียดนามแท้ๆ ให้เพลิดเพลิน และร่วมรับประทานอาหารกันก่อนเตรียมอำลาเมืองเว้
วันที่ 6 ของการเดินทาง
อำลาทริปนี้ที่โฮจิมินห์เทรล
เว้-ดองฮา-ลาวบาว-สะหวันนะเขต-มุกดาหาร 420 กิโลเมตร
วันสุดท้ายแห่งการเดินทาง เราตื่นมาดูบรรยากาศยามเช้าของเมืองเว้ ที่หน้าโรงแรมที่พักริมฝั่งแม่น้ำหอม เรามาที่นี่หลายวันเกือบลืมบอกเรื่องแฟชั่นของสาวๆ ที่นี่เขานิยมใส่เสื้อกันหนาวแบบ คอขนมิ้งค์ กันมากๆ ครับ ตลอดทริปทุกเมืองที่ไปจะเห็นจนชินตานึกว่าเป็นชุดประจำชาติแทนชุดอ่าวหญ่ายไปซะแล้ว แต่ไม่ใช่ครับมันเป็นแฟชั่นแบบเวียดนามสไตล์ ส่วนหมวกกันน็อคนี่ก็เป็นแฟชั่นเหมือนกัน เห็นมีวางขายอยู่เยอะได้ข้อมูลจากไกด์ว่าเพิ่งมีกฎหมายบังคับให้ใส่หมวกกันน็อคก็เลยได้รับความนิยม
วันนี้จะเป็นอีกวันที่จะต้องขับรถยาวเกือบทั้งวัน จากเวียดนามมุ่งหน้าเข้าลาวแล้วกลับประเทศไทยที่มุกดาหาร ภาพของเมืองที่มีการจราจรดูวุ่นวายค่อยๆ หายไป เราผ่านเส้นทางที่มีประวัติศาสตร์ที่ในอดีตฝ่ายเวียดกงใช้เส้นทางป่าเขาฟากตะวันตกของเวียดนามแถบนี้ลำเลียงพล อาวุธยุทธ์ปัจจัย อ้อมเขตปลอดทหารบริเวณตอนกลางของประเทศผ่านเข้าไปในลาวและกัมพูชา ก่อนจะวกกลับออกมาโจมตีเวียดนามใต้ ที่รู้จักกันในนาม "โฮจิมินห์เทรล" เส้นทางส่งกำลังบำรุงระดับตำนานนี้เป็นเส้นทางลำเลียงผู้คน อาหาร กำลังพล และการยุทธ์สำคัญของสงครามเวียดนาม คาราวานหยุดพักที่สะพานระหว่างเส้นทางโฮจิมินห์เทรล เพื่อชมทิวทัศน์ที่สวยงาม...เย็นตาของสายน้ำและภูเขาที่โอบล้อมพวกเรา ณ จุดนี้ สายลมอ่อนๆ โชยมาตลอดเวลาที่เราพักรถ กาแฟดำร้อนถูกแจกจ่ายเพื่อไล่ความเหนื่อยล้า ฝนตกโปรยๆ คล้ายบ่งบอกให้รู้ถึงความเป็นมาของเส้นทางนี้
เราเดินทางถึงมุกดาหารและอำลากันที่นี่ หลังจากที่เดินทางร่วมกันกว่า 2,600 กิโลเมตร และใช้เวลาร่วมกันเกือบอาทิตย์ก่อนจะพบกันใหม่ ก่อนจากคุณลุงกับคุณป้าคู่หวานของทริป แฟนประจำตั้งแต่คาราวานครั้งก่อนบอกกับผมผ่านวิทยุสื่อสาร ทั้งๆ ที่ตลอดการเดินทางท่านทั้งคู่ไม่ค่อยได้ใช้ว่า รู้สึกอยากเที่ยวต่ออีก แต่เมื่อโปรแกรมกำหนดไว้เท่านี้ก็เข้าใจ แต่ครั้งหน้ามีโปรแกรมไปที่ไหนให้รีบแจ้งด้วยนะครับ.. รับทราบครับผม!!
การเดินทางท่องเที่ยวถือเป็นกำไรของชีวิตนะครับ เพราะมันทำให้เราได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจ และได้ประสบการณ์ชีวิตเพิ่มมากขึ้น ยิ่งการเดินทางไปเห็นในประเทศที่มีความแตกต่างในจากเรา ทั้งในเรื่องความเป็นอยู่ ประวัติศาสตร์ชาติ ทัศนคติและการใช้ชีวิต ยิ่งทำให้เป็นเสมือนกระจกที่จะส่องสะท้อนตัวเพื่อให้เรารู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้นว่าเราคือใคร อยู่ที่ไหนและกำลังจะทำอะไรต่อกับชีวิตของเรา การเดินทางของขบวน BANGKOK AUTO JAM CARAVAN TO INDOCHINA 2011 ที่สำเร็จจนเป็นภาพความทรงจำที่น่าประทับใจในครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณทีมงาน และสมาชิกคาราวานทุกท่าน รวมไปถึงผู้ให้การสนับสนุนในการเดินทาง ที่ร่วมบันทึก จดจำ และบอกเล่าประสบการณ์ครั้งหนึ่งของชีวิตร่วมกัน ท่านผู้อ่านที่อยากเปิดประสบการณ์ชีวิตด้วยการเดินทางมันส์ๆ แบบนี้บ้าง คอยติดตามกันนะครับเพราะการเดินทางแบบนี้เรามีไปกันทุกปีครับ
ที่สำคัญขอขอบคุณรถยนต์ SsangYong KORANDO ที่ให้ผมใช้เป็นยานพาหนะตลอดการเดินทาง ขอบอกครับว่า ขับสนุก ไป-กลับ ไทย ลาว เวียดนาม ขับสนุกจริงๆ ครับ แถมประหยัดน้ำมัน เฉลี่ยแล้วผมวิ่งอยู่ราว 11 กิโลเมตร / ลิตรเองครับ
Caption
1. อุโมงค์รถยนต์ลอดภูเขาไฮ่เวิน
2. อ่าวตังเกี๋ย ที่ดานัง
3. นั่งสามล้อซิกโล่ว์ชมเมืองเว้
4. คณะคาราวานที่หน้าพระราชวังต้องห้าม
5. เจดีย์ 8 เหลี่ยมที่วัดเทียนมู่
6. รถออสตินคันประวัติศาสตร์
7. ล่องเรือมังกรชมแม่น้ำ
8. การแสดงพื้นเมืองของเวียดนามในคืนวันงานเลี้ยง
9. บ้านหน้าแคบแบบเวียดนามระหว่างทาง
10. เด็กปั๊มสาวเวียดนามกับชุดเต็มยศ
11. สะพานบนเส้นทางโฮจิมินห์เทรล
12. น้ำตกคอนพะเพ็ง หรือ น้ำตกไนแองการ่าแห่งเอเชีย
13. คาราวานในเมืองลาว
14. มาถึงเวียดนามแล้ว
15. อธิษฐานขอพรที่วัดจีนในฮอยอัน
16. สะพานญี่ปุ่นที่ฮอยอัน
17. ริมฝั่งแม่น้ำทูโบน
18. บรรยากาศเมืองฮอยอัน
19. ฮอยอันเมืองโบราณ
ขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
น.ส.จิระภัทร์ หอมสนิท (ซี)
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท ทาร์เก็ตมีเดียแอนด์ทเลเวิชั่น จำกัด
โทร.02-514-2266
แฟกซ์02-514-4321
www.cmax.in.th