กรุงเทพฯ--9 พ.ค.--ซีพีเอฟ
ซีพีเอฟรายงานผลดำเนินงานไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 หลังการลงทุนต่างประเทศโตตามเป้า ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศส่งผลให้ขาดทุน 1,135 ล้านบาท มั่นใจสถานการณ์ครึ่งปีหลังพลิกกลับ
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของซีพีเอฟไตรมาสแรก ปี 2550 มียอดขายรวม 29,077 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปี 2549 ร้อยละ 6 โดยกิจการที่ไปลงทุนในต่างประเทศเติบโตตามเป้าหมาย ซึ่งยอดขายในไตรมาสนี้ เป็นรายได้จากกิจการในประเทศไทยร้อยละ 69 รายได้จากการส่งออกร้อยละ 17 และรายได้จากกิจการในประเทศอื่นๆ ร้อยละ 14
จากผลกระทบจากภาวะสินค้าล้นตลาดและการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่ลดลง ทำให้ราคาสินค้าเนื้อสัตว์ที่ขายในประเทศไทย โดยเฉพาะสุกร ไก่เนื้อ และไข่ไก่ ต่ำกว่าต้นทุนการผลิต ประกอบกับข้าวโพดซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตอาหารสัตว์ มีการปรับตัวของราคาสูงขึ้น ขณะเดียวกัน อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแข็งค่าขึ้น ทำให้ซีพีเอฟมีผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ขาดทุน จำนวน 1,135 ล้านบาท
ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2550 นี้ ซีพีเอฟได้เปลี่ยนนโยบายการบัญชีสำหรับเงินลงทุนในบริษัทย่อย กิจการที่มีอำนาจควบคุมร่วม หรือบริษัทร่วมในงบการเงินเฉพาะกิจการ จากวิธีส่วนได้เสียเป็นวิธีราคาทุน ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชีฉบับวันที่ 26/2549 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่มีผลกระทบต่องบการเงินรวมของกลุ่มบริษัท แต่มีผลกระทบต่องบการเงินเฉพาะกิจการ ทำให้กำไรสุทธิที่รายงานในงบการเงินเฉพาะกิจการมีจำนวนแตกต่างจากกำไรสุทธิที่รายงานไว้ในงบการเงินรวมของกลุ่มบริษัท โดยยอดแตกต่างที่มีสาระสำคัญคือ การบันทึกเงินปันผลรับจากบริษัทย่อยที่จัดสรรมาจากกำไรสะสมของบริษัทย่อยในงบเฉพาะกิจการของบริษัท มีผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของงบเฉพาะกิจการภายหลังการปรับนโยบายบัญชี ไม่แตกต่างจากก่อนการปรับมากนัก
“ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและประเทศไทยในปัจจุบัน ประกอบกับภาวะราคาข้าวโพดที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตอาหารสัตว์เพื่อการเลี้ยงสัตว์ที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ผู้ผลิตเนื้อสัตว์ในประเทศต่างๆ ก็ประสบกับความท้าทายเช่นเดียวกับประเทศไทย ทุกๆ คนต้องมีการปรับตัว โดยกลุยทธ์หลักของซีพีเอฟนั้น ยังคงเดินหน้าต่อเนื่องในการสร้างตราสินค้าและความปลอดภัยของอาหาร (Food Safety) พร้อมออกสินค้าอาหารพร้อมรับประทานที่มีรสชาดดีหลากหลายประเภท เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการขยายจุดจำหน่ายเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคให้มากขึ้น
สำหรับกิจการที่ซีพีเอฟไปลงทุนในต่างประเทศได้ส่งผลตอบแทนกลับมาตามเป้าที่เราตั้งไว้ โดยเฉพาะธุรกิจสัตว์น้ำที่เราไปลงทุนในประเทศอินเดีย มาเลเซีย และจีน สำหรับประเทศตุรกีก็มีการพลิกกลับเติบโตอย่างก้าวกระโดด ปีนี้ตุรกีน่าจะส่งผลกำไรดีกว่าปีที่ผ่านมามากพอสมควร จึงคาดการณ์ว่า ภาวะธุรกิจโดยรวมจะดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป” นายอดิเรก กล่าว
สำนักสารนิเทศ ซีพีเอฟ โทรศัพท์ 0-2638-2713, 02-625-7344-5, 0-2631-0641