กรุงเทพฯ--10 มี.ค.--กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
นายสมบัติ คุรุพันธ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (ป.กก.) ให้การต้อนรับ ฯพณฯ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสที่ พลเอกเชษฐา ฐานะจาโร ประธานสภามวยไทยโลก พร้อมด้วย ดร.ศักดิ์ชาย ทัพสุวรรณ ประธานสหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ นำ มร.เกา เสียวจูน ประธานสมาคมวูซูแห่งประเทศจีน และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรองกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ
นายสมบัติ (ป.กก.) กล่าวว่า ในการที่คณะจากสมาคมวูซูแห่งประเทศจีน พร้อมด้วยผู้บริหารจากศูนย์กีฬามวยไทยในจีน เข้าพบรองนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการที่ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ถึงความร่วมมือในการส่งเสริมกีฬามวยไทยในประเทศจีน เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา ทางพลเอกเชษฐา ฐานะจาโร ในฐานะประธานสภามวยไทยโลก พร้อมด้วย ดร.ศักดิ์ชาย ทัพสุวรรณ ประธานสหพันธ์มวยไทยสมัครเล่น จึงถือโอกาสอันดียิ่งนี้ นำคณะสมาคมวูซูจากประเทศจีน เข้าเยี่ยมคารวะ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ เพื่อหารือถึงการพัฒนา และผลักดันมวยไทย ให้เป็นที่นิยมแพร่หลายในประเทศจีนมากยิ่งขึ้น ซึ่งกีฬาทั้งสองชนิดนี้มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ยาวนานเช่นเดียวกัน อาจถือได้ว่าเป็นศิลปะการต่อสู้ ป้องกันตัวประจำชาติเลยก็ว่าได้ ซึ่งในหลายปีที่ผ่านมา ทางสหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นก็ได้พยายามอย่างมากที่จะพัฒนากีฬามวยไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในประเทศจีน เพราะประเทศจีนเป็นประเทศที่ใหญ่ มีประชากรเป็นจำนวนมากกว่า 1,300 ล้านคน โดยภายหลังได้รับความร่วมมือ พร้อมทั้งการสนับสนุนจากทางผู้ใหญ่ในวงการกีฬา รวมไปถึงจากรัฐบาลจีนเป็นอย่างดี จึงได้มาร่วมหารือกับทางผู้นำของรัฐบาลไทยเพื่อ พัฒนากีฬามวยไทยในประเทศจีน พร้อมกับการนำเอากีฬา วูซู เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยให้มากขึ้น เนื่องจากกีฬาทั้งสองชนิดนี้เกิดขึ้นจากรากฐานของความเป็นวัฒนธรรม เชื่อว่าหากได้รับการสนับสนุนอย่างถูกต้องแล้วนั้น จะทำให้มวยไทยเป็นกีฬาที่คนทั่วโลกรู้จักและนิยมเล่นกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น และอีกไม่นาน จะมีการเปิดตัวศูนย์ฝึกมวยไทยในประเทศจีนอย่างเป็นทางการ โดยศูนย์ฝึกมวยไทยแห่งนี้จะมีการบริหารจัดการทุกอย่างคล้ายคลึงกับศูนย์ฝึกมวยไทยในประเทศไทย มีการฝึกสอนที่ถูกต้องตามหลักมวยไทย ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน จนไปถึงระดับอาชีพ เพื่อถ่ายทอดศิลปะแม่ไม้มวยไทยอย่างถูกวิธีแก่ประชากรโลก
นายสมบัติ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนได้รับข้อมูลว่า ในขณะนี้ มีศูนย์กีฬามวยไทย หรือค่ายมวยไทยในจีนประมาณ 30 กว่าแห่ง โดยมีตั้งแต่ในโรงเรียนกีฬา และตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งจัดตั้งเองโดยชาวจีน ยังไม่ได้จดทะเบียนหรือว่าขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานที่ดูแลด้านกีฬามวยของไทย ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการผิดพลาดในเรื่องของการเรียนการสอน จนผิดแปลกไปจากพื้นฐานการต่อสู้ในแบบฉบับกีฬามวยไทยเดิม จึงเป้นการสมควรอย่างยิ่งที่จะมีการตั้งกฎระเบียบ ขั้นตอน หรือวิธีการขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานด้านกีฬาของไทย โดยทางรัฐบาลไทย พร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะพัฒนากีฬามวยไทย ให้เป็นที่รู้จัก และนิยมแพร่หลายมากขึ้นในประเทศจีนต่อไป