กรุงเทพฯ--16 มี.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ชุดปัจจุบันของ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” ในขณะเดียวกันได้จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนความสามารถของคณะผู้บริหาร ตลอดจนระบบการดำเนินงานและการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพซึ่งทำให้บริษัทสามารถดำรงสถานภาพผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิตและนโยบายในการกระจายธุรกิจไปยังธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล อันดับเครดิตดังกล่าวยังพิจารณาถึงการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ด้วย อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งเหล่านี้ถูกลดทอนลงบางส่วนจากสภาพการแข่งขันที่รุนแรง ตลอดจนปัจจัยทางธุรกิจที่ไม่เอื้ออำนวย และความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ของทางการซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการขยายตัวของสินเชื่อและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทบัตรกรุงไทยจะสามารถรักษาสถานภาพผู้นำทางการตลาดในธุรกิจบัตรเครดิตเอาไว้ได้แม้ว่าจะมีภาวะการแข่งขันที่รุนแรงและมีปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในธุรกิจของบริษัทก็ตาม โดยที่บริษัทยังคงสามารถรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ในขณะที่มีการขยายตัวของบัญชีลูกค้าสินเชื่อทั้งจากบริการเดิม (บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล และสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย) และบริการใหม่ของบริษัท (สินเชื่อบุคคลพร้อมใช้) ด้วยฐานะทุนที่แข็งแกร่งและระบบการดำเนินงานและการบริหารความเสี่ยงที่ดีคาดว่าจะช่วยบริษัทลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจได้
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทบัตรกรุงไทยยังคงสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิตได้อย่างต่อเนื่องด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดของจำนวนบัตรเกือบ 13% ณ เดือนธันวาคม 2549 อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ได้แก่ กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้นสำหรับการกำหนดอัตราขั้นต่ำในการจ่ายคืนหนี้ การกำหนดคุณสมบัติของผู้ถือบัตร การกำหนดเพดานดอกเบี้ยสำหรับธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และภาวะความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง ล้วนมีผลจำกัดการขยายตัวของสินเชื่อและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท
ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2549 บริษัทมียอดรวมสินเชื่อคงค้างจำนวน 40,126 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.6% จาก 28,529 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2548 โดยยอดสินเชื่อคงค้างดังกล่าวประกอบด้วยสินเชื่อจากบัตรเครดิต 68% สินเชื่อส่วนบุคคล 21% สินเชื่อผู้ประกอบการรายย่อย 9% และสินเชื่อธนวัฎบัตรเครดิตอีก 2% บริษัทประกาศกำไรสุทธิสำหรับงวดปี 2549 จำนวน 439 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยลดลงเหลือ 7.76% จาก 11.97% ในปี 2548 และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยลดลงเป็น 1.23% จาก 2.49% ในปี 2548 ในส่วนของสินเชื่อค้างชำระ (เกิน 90 วัน) ของบริษัทมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 3.2% ของสินเชื่อรวมถัวเฉลี่ย ณ เดือนธันวาคม 2549 จาก 3.1% ในปี 2548 2.6% ในปี 2547 และ 1.8% ในปี 2546 ซึ่งสัดส่วนของสินเชื่อค้างชำระที่เพิ่มขึ้นเกิดจากกลยุทธ์ของบริษัทที่กระจายการขยายตัวของบัญชีลูกค้าสินเชื่อไปยังสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นซึ่งมีระดับความเสี่ยงของสินเชื่อที่มากขึ้นในขณะที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น การตั้งสำรองหนี้สูญของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นจาก 647 ล้านบาทในปี 2548 เป็น 1,006 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2549 สืบเนื่องจากการขยายตัวของบัญชีลูกค้าสินเชื่อ บริษัทมีอัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อทั้งสินทรัพย์รวมและยอดคงค้างของสินเชื่อรวมลดลงมาอยู่ที่ 13.6% และ14.2% ตามลำดับ ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 5.94 เท่า ทริสเรทติ้งกล่าว