กรุงเทพฯ--16 มี.ค.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
ธนาคารทิสโก้ ร่วมกับ นสพ.กรุงเทพธุรกิจ จัดงานสัมมนาใหญ่ “TISCO Wealth — KT Investment Forum” ภายใต้ธีม “Wealth Creation การสร้างความมั่งคั่งจากการลงทุนอย่างผู้รู้” จากกูรูชั้นนำของเมืองไทย ร่วมให้ภาพรวมทิศทางการลงทุนปี 2011 รับเศรษฐกิจโลกฟิ้นตัว และเปิดภาพการลงทุนครบวงจรทั้ง น้ำมัน, ทอง, อสังหาริมทรัพย์ พร้อมเผยเคล็ดลับจัดสรรพอร์ตเสริมความมั่งคั่ง
ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) โดย “ทิสโก้ เวลธ์” (TISCO Wealth) ซึ่งเป็นบริการบริหารความมั่งคั่งอย่างครบวงจรสำหรับลูกค้าธนบดีของกลุ่มทิสโก้ ได้ร่วมมือกับ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ จัดงานสัมมนา “TISCO Wealth — KT Investment Forum” ในวันที่ 15 มี.ค. 54 ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี เพื่อให้ลูกค้าและบุคคลทั่วไปได้รับข้อมูลอันเป็นประโยชน์ในการบริหารการเงินการลงทุน และบริหารความมั่งคั่ง โดยได้เชิญกูรูด้านการลงทุนชั้นนำของเมืองไทยหลายคน มาร่วมวิเคราะห์ เจาะลึกภาพรวมของการลงทุนในปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต
โดย อรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ บมจ. ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป กล่าวถึงที่มาของการจัดงานสัมมนา “TISCO Wealth — KT Investment Forum” ในครั้งนี้ว่า “ในรอบปีที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งของเศรษฐกิจไทย ที่มีการฟื้นตัวในหลายๆ ด้าน ตลอดจนภาคอุตสาหกรรมหลักๆ มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และในปีนี้เราเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกรอบใหม่ หัวข้อการสัมนาในครั้งนี้ จึงเป็นคำแนะนำสำหรับลูกค้าและนักลงทุน ในภาวะเศรษฐกิจขาขึ้น ที่นักลงทุนจะได้รับฟังบทวิเคราะห์ และคำแนะนำให้ท่านพิจารณาถึงโอกาส ทางเลือก และความท้าทายต่างๆ ประกอบการตัดสินใจลงทุน อันเป็นที่มาของการจัดสัมมนา ภายใต้ธีม “Wealth Creation” หรือการสร้างความมั่งคั่งจากการลงทุนอย่างผู้รู้ ที่ธนาคารทิสโก้ และหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ จัดขึ้นในวันนี้
โดยในงานสัมมนา ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ความท้าทายใหม่ของการลงทุนปี 2011” ว่า ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาถือว่ามีการเคลื่อนไหวอยู่ในระดับที่ดี ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัว ส่วนในปีนี้แม้ว่าตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง แต่จะเป็นการขยายตัวในอัตราที่ลดลงจากปีก่อน ประกอบกับ PE ของหุ้นไทยขณะนี้เริ่มแพงขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายออกมา และย้ายการลงทุนไปยังภูมิภาคอื่นโดยเฉพาะประเทศในตลาดเกิดใหม่ ทำให้มองว่าหุ้นไทยในปีนี้มี Upside ค่อนข้างน้อย ทั้งนี้ยังเป็นผลจากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่จะถึงจุดสูงสุดในช่วงกลางปีนี้ ทำให้นโยบายอัตราดอกเบี้ยยังเป็นขาขึ้นไปอีกระยะก่อนจะนิ่ง ซึ่งน่าจะเป็นช่วงที่ใกล้เคียงการช่วงที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งจะช่วยทำให้ปัจจัยด้านความไม่แน่นอนทางการเมืองหายไปจากตลาด จึงเป็นผลดีต่อภาพรวมการลงทุนในไทยได้ แต่อย่างไรก็ตามโอกาสที่ดัชนีจะทะลุ 1,200 จุด ยังคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนเดิมคาดว่าจะอยู่ที่ 15-20% นั้นอาจต้องถูกปรับลดลงจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมา
“ส่วนในปีหน้าจะเป็นอีกปีที่ไม่ได้ผลตอบแทนที่สูงนัก เพราะทางสหรัฐอเมริกาน่าจะมีการถอนเงินอัดฉีดในระบบจากการทำ QE ออกมา เนื่องจากทิศทางดอกเบี้ยไม่ได้เป็นไปตามที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องการ ทำให้การทำ QE3 จึงจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน ขณะที่อัตราตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯ เริ่มมีการปรับตัวดีขึ้น สำหรับความเสี่ยงหลักของปีหน้าคือเรื่องของอัตราดอกเบี้ย เพราะในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังคงติดลบหรือเป็นศูนย์อยู่ ดังนั้นธนาคารกลางในประเทศต่างๆ ซึ่งรวมถึงไทยจึงยังคงเดินหน้านโยบายอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นไปอีก ซึ่งจะมีผลทำให้ดัชนีในตลาดหุ้นไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก อย่างไรก็ตามมองว่าในปี 2013 แนวโน้มของผลตอบแทนต่อหุ้น (ROE) ของไทย จะปรับตัวดีขึ้นและมีโอกาสจะทะลุ 20% ได้”
ผศ. ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจมหภาค ได้บรรยายในหัวข้อ “เตรียมรับมือการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกรอบใหม่” ว่า ตามข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจเอเชีย รวมถึงในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และยุโรป ได้มีการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นตั้งแต่ในช่วงปี 2009 จนในปัจจุบันได้เข้าสู่ภาวะการเติบโตที่เป็นปกติ โดยแรงขับเคลื่อนหลักยังมาจากฝั่งทางด้านเอเชียซึ่งรวมถึงไทย ส่วนฝั่งของสหรัฐ ฯ ขณะนี้มีสัญญาณหลายด้านดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคภาคเอกชนที่เริ่มมีการผลิตที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับคนในประเทศเริ่มมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่ยั่งยืนมากขึ้น
ส่วนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยถือว่ายังอยู่ในระดับที่ดีมาก โดยในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวอยู่ที่ 7.9-8% ขณะที่ปีนี้ทิสโก้ประมาณการณ์ว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 4.7% และปีหน้า 5.5% แม้ว่าตัวเลขจะดูลดลง เพราะเป็นการเปรียบเทียบกับฐานของปีที่แล้วซึ่งมีการขยายตัวสูงมาก แต่หากดูเป็นรายไตรมาสแล้วจะเห็นว่าการขยายตัวของปีนี้จะมากกว่าปีก่อน โดยมีปัจจัยเกื้อหนุนมาจาก นโยบายภาครัฐที่มีการอัดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ผลจากนโยบายทางการเงิน และ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะมาจากการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก
และไฮไลท์ของงาน คือการเสวนาแบบเจาะลึกถึงการลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ ที่น่าสนใจและมาแรง ในหัวข้อ “จัดพอร์ตการลงทุนรับเศรษฐกิจขาขึ้น” โดยนักธุรกิจชื่อดังจากธุรกิจพลังงาน , ทองคำ, อสังหาริมทรัพย์ และการจัดสรรการลงทุน (Asset Allocation) โดย สุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงทิศทางของธุรกิจพลังงานว่า ในตอนนี้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปหลายตัวราคาปรับดีขึ้น จากที่โรงกลั่นน้ำมันในญี่ปุ่นเสียหายที่ทำให้กำลังการผลิตหายเป็นจำนวนมาก และคาดว่าราคาน้ำมันจะปรับขึ้นสูงในระยะสั้น ขณะเดียวกันเชื่อว่าราคาน้ำมันเตาจะปรับตัวดีขึ้นในระยะยาว เพราะจากการที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่นเสียหาย ทำให้ต้องนำเข้าน้ำมันเตาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่ากว่าจะฟื้นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์คงต้องใช้เวลาอีกนาน ทำให้ภาพธุรกิจโรงกลั่นในปีนี้ยิ่งดีขึ้นไปอีก
ด้านฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ จำกัด กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำเป็นผลมาจากดีมานด์และซับพลายในตลาด ซึ่งปัจจุบันทองคำที่ขุดขึ้นใหม่และจำนวนทองคำเก่าที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดนั้นยังคงเป็นไปตามระดับปกติ โดยสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ในฝั่งของผู้ซื้อซึ่งเดิม 80% จะมาจากร้านค้าเครื่องประดับ แต่ในช่วง 3 — 5 ปีที่ผ่านมารูปแบบดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงไป โดยกลุ่มผู้ซื้อที่เป็นนักลงทุนได้เพิ่มจำนวนเข้ามาสูงมากขึ้นอยู่ที่ประมาณ 40% ขณะที่ธนาคารกลางในประเทศต่างๆ ก็มีนโยบายในการถือครองทองคำมากขึ้น จึงนับเป็นตัวแปรที่มีผลต่อราคาในตลาด โดยในปีนี้ทางวายแอลจีประเมินราคาสูงสุดของทองคำในตลาดอยู่ที่ 1,600 เหรียญต่อออนซ์
อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัทซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้มีการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอาคารสำนักงานที่บริษัทต่างๆ ได้มีขยายพื้นที่กันมากขึ้น ศูนย์การค้า ซึ่งมีร้านค้ามาเช่าพื้นที่มากขึ้น ตามการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้น ด้านนิคมอุตสาหกรรม โรงงานต่างๆ ก็มีการซื้อที่ดินเพิ่มขึ้น รวมถึงบ้านเดี่ยว ทาวเฮ้าส์ ก็ขยายตัวโดดเด่นไม่แพ้กัน ซึ่งถือเป็นการการขยายตัวที่ดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ แต่การขยายตัวในแต่ละส่วนจะมีมากน้อยแตกต่างกันไป ส่วนการขยายของคอนโดมิเนียมนั้นถือว่ามีความร้อนแรงที่สุด แต่จากการทางการได้เริ่มมีความเป็นห่วงและมีการออกมาตรการต่างๆ ออกมาดูแล ทำให้เชื่อว่าการขยายตัวอาจจะมีการลดลงบ้าง ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องมีการศึกษารายละเอียดให้รอบคอบมากขึ้น
และ พิชา รัตนธรรม Head of Wealth Management ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวสรุปถึงการจัดการลงทุนนี้ว่า การเลือกลงทุนในแต่ละครั้งนั้น ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจในแต่ละช่วงที่จะลงทุนก่อนว่าเป็นอย่างไร เพื่อเลือกการลงทุนให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูงหรือต่ำ เช่น หุ้น เงินฝาก หรือตั๋วแลกเงิน เพราะในตลาดมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกมากมาย ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องพิจารณาให้ดีก่อนเหมือนกัน ทั้งนี้เรื่องของอัตราเงินเฟ้อในประเทศต่างๆ น่าจะยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ยังต้องติดตาม แต่เชื่อว่าทางการของประเทศต่างๆ จะออกมาควบคุมได้ไม่น่ากังวลแต่อย่างใด
“ทิสโก้หวังว่า ผู้เข้าร่วมงานสัมมนาจะได้รับข้อมูลอันจะเป็นประโยชน์ในการบริหารการเงินการลงทุน และบริหารความมั่งคั่ง สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของทิสโก้ ในความมุ่งมั่นที่จะเป็น Best Investment Advisory in Town หรือ การเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนที่ดีที่สุดของท่าน”
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ฝ่ายนิเทศสัมพันธ์ บมจ. ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
โทร. 02 633 6906