กรุงเทพฯ--17 มี.ค.--ฐิติกร
บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK ซื้อกิจการบริษัท เซทเทเลม (ประเทศไทย) จำกัด จากบริษัท BNP Paribas Personal Finance S.A. ซึ่งเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลรายใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยการซื้อกิจการครั้งนี้ TK ตั้งเป้าหมายเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ
นางสาวปฐมา พรประภา กรรมการผู้จัดการ TK เปิดเผยว่าการซื้อกิจการครั้งนี้เป็นการซื้อหุ้น 100% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด 35.74 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท โดยราคาหุ้นซื้อขายกำหนดไว้ที่ 5.60 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท คาดว่ารายการซื้อขายหุ้นครั้งนี้จะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในเดือนเมษายน 2554 ซึ่งเป็นระยะเวลาภายหลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้มีมติอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้
บริษัท เซทเทเลม (ประเทศไทย) จำกัดเป็นบริษัทที่ให้บริการสินเชื่อบุคคล สินเชื่อเงินผ่อนและสินเชื่อบัตรเครดิต แต่ได้ยุติการรุกตลาดตั้งแต่กันยายน พ.ศ. 2552 แต่ธุรกิจยังคงดำเนินการต่อไปเฉพาะลูกค้าที่มีข้อผูกพันจนกว่าสัญญาจะสิ้นสุดลง
“สาเหตุที่เราซื้อกิจการของเซทเทเลมเพราะเรามองว่าธุรกิจของเซทเทเลมกับของเราเป็นธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นการเข้าซื้อครั้งนี้ เราจะมีฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นเพราะกลุ่มลูกค้าของเซทเทเลมเป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกันกับเรา ซึ่ง TK จะสามารถใช้ประโยชน์จากฐานลูกค้าของเซทเทเลมเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้กับ TK ได้เป็นอย่างดี โดยเซทเทเลมมีฐานลูกค้าอยู่กว่า 1 ล้านราย” นางสาวปฐมากล่าว
นอกจากนี้ การซื้อกิจการของเซทเทเลม ยังจะทำให้ TK สามารถนำฐานข้อมูลของเซทเทเลมมาใช้ประโยชน์เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจในอนาคตด้วย
ปัจจุบัน TK ถือเป็นบริษัทผู้ให้สินเชื่อรถจักรยานยนต์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยเมื่อปีที่แล้ว ถือว่าเป็นปีที่ดีมากสำหรับ TK โดยในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีที่แล้ว TK มีกำไรสุทธิที่ 393.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66.7%จากช่วงเดียวกันของปี 2552 ซึ่งผลการดำเนินงานเพียง 3 ไตรมาสนั้นสูงกว่าผลประกอบการของทั้งปีของปี 2552 ที่มีกำไรสุทธิที่ 333.81 ล้านบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประกอบการของไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว ก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนการจ่ายเงินปันผลเมื่อปีที่แล้ว TK ได้จ่ายในอัตรา 0.36 บาทต่อหุ้น ล่าสุดคณะกรรมการบริหารได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของปี 2553 ในอัตรา 0.52 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 44%