กรุงเทพฯ--23 มี.ค.--โมโด
“เฟรเกรนท์ กรุ๊ป” ยิ้มรับยอดขายพื้นที่โครงการ Circle Living Prototype หลังเปิดตัวเดือนเศษ ทำรายได้แล้วกว่า 50% หรือประมาณ 1,800 ล้านบาท เผยเหตุลูกค้าตอบรับด้วยดี เพราะ คอนเซ็ปท์โครงการชัดเจนด้วยแนวคิดอาคารอัจฉริยะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เดินหน้าทุ่มงบ 7 ล้านสร้างสะพานข้ามคลองแสนแสบเชื่อมโครงการ Circle และเดอะ ไพร์ม 11 ย่นระยะเวลาเดินทางจากถนนเพชรบุรีไปซอยสุขุมวิท 11 มั่นใจโครงการพัฒนาระบบเศรษฐกิจย่านเพชรบุรีเติบโตขึ้น ล่าสุด แนะภาครัฐเร่งสร้างระบบรถไฟฟ้าเชื่อมเพชรบุรี-สุขุมวิท รองรับการเปิดเสรีอาเซียน
นายเจมส์ ดูอัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เฟรเกรนท์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า โครงการ Circle Living Prototype ซึ่งดำเนินงานโดยบริษัท เฟรเกรนท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในเครือเฟรเกรนท์ กรุ๊ป ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยหลังจากเปิดตัวประมาณ 1 เดือนเศษ ในขณะนี้มียอดขายพื้นที่ได้มากกว่า 50% หรือคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 1,800 ล้านบาท ทั้งนี้ ลูกค้าที่มาซื้อพื้นที่โครงการ แบ่งเป็น ลูกค้าเก่า ซึ่งเป็นคนไทยและคนต่างชาติ 70% และลูกค้าใหม่ ซึ่งเป็นคนไทย 30% ส่วนด้านการตลาดหลังจากนี้ บริษัทฯ จะมุ่งเน้นลูกค้าต่างชาติ มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ขณะที่การก่อสร้างโครงการวางแผนจะยื่นแบบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environment Impact Assessment : EIA) ประมาณต้นเดือนเมษายนนี้ และไตรมาส 3 จะเริ่มดำเนินการได้
นายเจมส์กล่าวว่า องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้โครงการฯ ได้รับการตอบรับที่ดี ได้แก่ 1.คอนเซ็ปท์ ซึ่งมีเรื่องการประหยัดพลังงาน การรักษาสิ่งแวดล้อม และการแปรรูปของใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ ที่ลูกค้าเห็นถึงความสำคัญและเห็นด้วยกับแนวคิดของโครงการ 2.การดีไซน์ที่ลงตัวของห้องชุดและตัวอาคาร 3.ทำเลที่ตั้ง ที่อยู่ใจกลางเมืองและอยู่ใกล้กับระบบขนส่งมวลชนถึง 5 ระบบ ได้แก่ สถานีรถไฟมักกะสัน สถานีรถไฟใต้ดินเพชรบุรี สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์มักกะสัน ทางด่วนเฉลิมมหานคร และท่าเรือคลองแสนแสบ ทำให้ผู้พักอาศัยสะดวกสบายต่อการเดินทางในทุกที่ 4.โครงการอยู่ในพื้นที่แผนพัฒนาเป็นศูนย์คมนาคมมักกะสันที่จะพัฒนาเป็นย่านธุรกิจแห่งใหม่ และ 5. เป็นอาคารที่พักอาศัยแห่งแรกในประเทศไทยที่มีระบบควบคุมบริหารจัดการอาคารทันสมัยที่สุด อีกทั้งยังเป็นโครงการที่มีแนวคิดในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ล่าสุด บริษัทฯ ได้ร่วมกับสำนักงานกรุงเทพมหานคร (กทม.) สร้างโครงข่ายการเดินทางที่อำนวยความสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยใช้งบลงทุนทั้งสิ้น 7 ล้านบาทสร้างสะพานข้ามคลองแสนแสบ เพื่อเชื่อมโครงการ Circle และเดอะ ไพร์ม 11 เข้าด้วยกัน ซึ่งการก่อสร้างได้เสร็จสมบูรณ์และส่งมอบให้กับทาง กทม.เรียบร้อยแล้ว โดยลูกค้าทั้ง 2 โครงการสามารถเดินทางได้สะดวก ใช้ระยะเวลาในการเดินทางจากถนนเพชรบุรีไปที่ซอยสุขุมวิท 11 ได้เพียงไม่กี่นาที ขณะเดียวกันประชาชนทั่วไปที่ต้องใช้ทางสัญจรก็สามารถใช้สะพานนี้ได้ด้วยเช่นกัน
บริษัทฯ มั่นใจว่าโครงการ Circle Living Prototype จะเป็นอีกโครงการหนึ่งของบริษัทฯ ที่จะช่วยพัฒนาบริเวณพื้นที่ถนนเพชรบุรีให้มีความเจริญและทำให้ระบบเศรษฐกิจเติบโตมากขึ้น หลังจากในปี 2551 บริษัทฯ เป็นรายแรกที่สร้างอาคารที่พักอาศัยคือ โครงการ Circle The Futurescape of Bangkok และทำให้ถนนเพชรบุรีกลายเป็นทำเลทองที่น่าสนใจของนักลงทุนมาแล้ว โดยโครงการ Circle Living Prototype เป็นโครงการแรกในประเทศไทยที่ก่อสร้างขึ้นภายใต้แนวคิดอาคารอัจฉริยะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นโครงการต้นแบบที่นำระบบ Digital Project ซึ่งเป็นระบบการออกแบบที่สามารถเห็นรูปร่างและรายละเอียดต่างๆ ของอาคารก่อนที่จะลงมือสร้างจริงมาใช้ในการออกแบบอาคาร และมีจุดเด่นคือการใช้นวัตกรรมสร้างและประหยัดพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
นายเจมส์กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันถนนเพชรบุรีมีศักยภาพที่จะมีการเติบโตได้อีกมาก โดยคาดว่าภายใน 10 ปีจะมีประชาชนอยู่อาศัยไม่ต่ำกว่า 100,000-200,000 คน และหลังจากที่มีการเปิดเสรีอาเซียนในปี 2558 ไทยจะเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งจะส่งผลให้มีการเดินทางบนถนนสายนี้มากขึ้น โดยเฉพาะการใช้รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ที่เชื่อมโยงกับระบบขนส่งมวลชน รวมทั้งยังมีโครงการมักกะสันคอมเพล็กซ์ที่จะเกิดขึ้นด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้จะผลักดันให้ถนนเพชรบุรีมีการเติบโตมากขึ้นในอนาคต
“ปัญหาที่น่ากังวลมากคือ เรื่องระบบการเดินทางบริเวณถนนเพชรบุรี ซึ่งหน่วยงานภาครัฐควรจะหันมามุ่งเน้นเรื่องระบบขนส่งมวลชนและสร้างโครงข่ายการเดินทางที่ชัดเจน โดยสร้างระบบรถไฟฟ้าเชื่อมต่อกับโครงข่ายรถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ ระหว่างถนนเพชรบุรีกับถนนสุขุมวิท เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการเดินทางในย่านใจกลาง กทม.และการเดินทางไปสู่บริเวณโดยรอบให้กับประชาชน และรองรับการเติบโตของเมืองในวันข้างหน้า หากมีการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนที่ชัดเจน มีสถานีขึ้น-ลงที่ช่วยให้ประชาชนสามารถเดินทางต่อไปยังสถานที่ต่างๆ ได้สะดวกและรวดเร็วแล้ว เชื่อมั่นว่าจะช่วยยกระดับและพัฒนาเศรษฐกิจทั้งระบบได้มากขึ้นอย่างแน่นอน” นายเจมส์กล่าว
รายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่
บริษัท โมโด จำกัด
เอมิกา รพีรัตนกุล
โทร. 02-513-2677