“ยูเนี่ยน อินทราโก้”กดปุ่มขายหุ้น IPO พ.ค.นี้ ระดมทุน 52 ล้านหุ้น/เชื่อนักลงทุนสนใจเพียบ

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday March 23, 2011 15:14 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--23 มี.ค.--IR network “พีรเจต สุวรรณภาศรี” ประกาศพร้อมแล้วที่จะนำหุ้นน้องใหม่ บมจ.ยูเนี่ยน อินทราโก้ หรือ UIC มาให้นักลงทุนได้เป็นเจ้าของร่วมกัน โดยแต่งตั้ง บล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นแกนนำการจัดจำหน่ายหุ้น และบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เผยเตรียมขายไอพีโอทั้งหมด 52 ล้านหุ้น ซึ่งจะแบ่งการเสนอขายออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกจำนวนไม่เกิน 13 ล้านหุ้น เป็นการให้สิทธิผู้ถือหุ้นของ UKEM จองซื้อตามสัดส่วน และอีก 39 ล้านหุ้นเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไปในราคาเดียวกัน คาดเปิดให้จองซื้อได้ประมาณเดือน พ.ค.นี้ เชื่อจะได้รับความสนใจล้นหลามด้วยปัจจัยพ ื้นฐานที่โดดเด่นและธุรกิจมีอนาคตสดใส นายพีรเจต สุวรรณภาศรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยูเนี่ยน อินทราโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ UIC ซึ่งประกอบการธุรกิจเป็นผู้จัดหา พัฒนาและจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Chemical) สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เปิดเผยว่าตามที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทคือ บริษัท ยูเนี่ยน ปิโตรเคมีคอล จำกัด (มหาชน) หรือ UKEM ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 99.99 เป็นบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ มีนโยบายในการนำ UIC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Spin-Off) เพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจของ UIC โดยอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 130 ล้านบาทและแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทต่อประชาชนเป็นครั้งแรกจำนวน 52 ล้านหุ้นหรือร้อยละ 40 ของทุนจดทะเบียนทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชน และนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ บริษัทได้แต่งตั้งให้ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด(มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทในครั้งนี้ โดยมีบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน สำหรับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ UIC จำนวน 52 ล้านหุ้น จะแบ่งเป็นเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นของ UKEM ตามสัดส่วนการถือหุ้นจำนวนไม่เกิน 13 ล้านหุ้น หรือร้อยละ 10 ของทุนจดทะเบียนทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และอีก 39 ล้านหุ้น หรือร้อยละ 30 ของทุนจดทะเบียนทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะเสนอขายให้กั บประชาชนทั่วไป โดยเสนอขายในราคาเดียวกัน ในเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเปิดให้จองซื้อหุ้นไอพีโอได้ประมาณเดือนพฤษภาคมนี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ภายในเดือนเดียวกัน “ผมมีความเชื่อมั่นว่าเมื่อหุ้นของ UIC เปิดให้จองซื้อจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลามทีเดียว เนื่องจาก UIC เป็นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานที่โดดเด่น โดยเฉพาะการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวกับเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ถือเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมากในอนาคตและเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับค่อนข้างสูง” นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ UIC เชื่อมั่นว่าเมื่อเปิดให้มีการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนจำนวนรวม 52 ล้านหุ้น จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน ด้วยปัจจัยสนับสนุนในหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นปัจจัยพื้นฐานของบริษัทซึ่งมีความโดดเด่นจากการเป็นผู้นำในตลาด มีผู้บริหารและทีมขายที่มีประสบการณ์และความชำนาญ ที่สำคัญแนวโน้มการเติบโตของยอดขายเติบโตจากการเพิ่มสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปัจจุบันสภาวะการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างคึกคักพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นไอพีโอจะได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินกล่าวว่า บริษัท ยูเนี่ยน อินทราโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ UIC มีความน่าสนใจอย่างมาก เนื่องจากมีจุดแข็งที่โดดเด่นในหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นความชำนาญในฐานะผู้จัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ การมีฐานลูกค้ามีจำนวนมากกว่า 300 ราย ในหลายอุตสาหกรรม เช่น เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ อุตสาหกรรมสีและเคลือบสี อาหารและเวชภัณฑ์ พลาสติกและบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น และการคัดสรรสินค้าเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษที่พัฒนาจากการวิจัยและพัฒนาโดยผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงระดับโลก เพื่อให้ได้สินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของ ลูกค้าได้อย่างสูงสุด จึงทำให้ UIC ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าขนาดใหญ่จำนวนมาก ขณะเดียวกัน ผลประกอบการที่ผ่านมาของ UIC มีการเติบโตและมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทมีฐานลูกค้าหลักในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ และอุตสาหกรรมสี หมึกพิมพ์และเคลือบสี นอกจากนี้ในปี 2553 บริษัทได้เริ่มขยายตลาดเคมีภัณฑ์ในกลุ่มไทเทเนียมไดออกไซด์(Titanium Dioxide) ซึ่งทำให้รายได้ของบริษัทในปี 2553 เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยรายได้รวมของบริษัทระหว่างปี 2551 — ปี 2553 อยู่ที่ 199.98 ล้านบาท 206.87 ล้านบาท และ 303.02 ล้านบาทตามลำดับ ทั้งนี้รายได้จากการขายถือเป็นรายได้หลักของบริษัท และในส่วนของกำไรสุทธิในปี 2 551 — ปี 2553 เท่ากับ 7.28 ล้านบาท 10.62 ล้านบาท และ 17.07 ล้านบาทตามลำดับ โดยมีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 3.64 ร้อยละ 5.14 และร้อยละ 5.63 ของรายได้รวมในช่วงที่ผ่านมาตามลำดับ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ