กรุงเทพฯ--12 มี.ค.--ตลท.
ดร. สันติ กีระนันทน์ ผู้จัดการตลาดตราสารหนี้ (Bond Electronic Exchange หรือ BEX) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับพันธบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มูลค่า 35,000 ล้านบาท และพันธบัตรของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย มูลค่า 1,000 ล้านบาท เข้าจดทะเบียนและซื้อขายใน BEX วันที่ 13 และ 15 มีนาคม 2550 ดังนี้
1. พันธบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมมูลค่า 35,000 ล้านบาท เริ่มซื้อขายวันที่ 13 มีนาคม 2550 ประกอบด้วย
- พันธบัตรธปท. งวดที่ S25/14/50 ชื่อย่อ “CB07327A” อายุ 14 วัน มูลค่า 15,000 ล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 27 มีนาคม 2550
- พันธบัตรธปท. งวดที่ 1/FRB 3ปี/50 ชื่อย่อ “BOT103A” อายุ 3 ปี มูลค่า 20,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยลอยตัว (อัตราดอกเบี้ย BIBOR ประเภท 6 เดือน ลบ ร้อยละ 0.20) จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 13 มีนาคม 2553
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย BIBOR (Bangkok Interbank Offer Rate) หมายถึง อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นสำหรับการกู้ยืมเงินระหว่างธนาคารของตลาดกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นอัตราที่ได้จากการเฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยสำหรับการปล่อยกู้ระหว่างธนาคารพาณิชย์แบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ที่มีระยะเวลากู้ยืมตั้งแต่ 1 สัปดาห์ ถึง 1 ปีจากธนาคารพาณิชย์ไทยและต่างประเทศ รวม 14 แห่ง โดยจะแสดงข้อมูล 30 วันทำการ
2. พันธบัตรการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2550 ครั้งที่ 2 ชื่อย่อ “ETA133B” อายุ 6 ปี มูลค่า 1,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.30 ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 15 มีนาคม 2556 เริ่มซื้อขายวันที่ 15 มีนาคม 2550
การเข้าจดทะเบียนของตราสารหนี้ภาครัฐครั้งนี้ ทำให้มูลค่าตราสารหนี้ที่ออกโดยภาครัฐเพิ่มขึ้นเป็น 2.998 ล้านล้านบาท (ร้อยละ 89.73 ของตราสารหนี้จดทะเบียนใน BEX) ส่งผลให้มูลค่าคงค้างรวม (Total Outstanding Value) ในตลาดตราสารหนี้เพิ่มขึ้น 3.341 ล้านล้านบาท
ผู้สนใจลงทุนในตราสารหนี้ที่จดทะเบียนใน BEX สามารถติดต่อบริษัทหลักทรัพย์ได้ทุกแห่ง รวมทั้ง ติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับตราสารหนี้ไทยและต่างประเทศได้ทางเว็บไซต์ที่ www.bex.or.th หรือหากต้องการข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ ศึกษาเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์โครงการให้เงินทำงานผ่าน กองทุนรวมที่ www.thaimutualfund.com หรือ ติดต่อบริษัทจัดการกองทุนทุกแห่ง