กรุงเทพฯ--5 เม.ย.--IR network
บิ๊ก CGS ยิ้มปีนี้ผลประกอบการอย่างเริ่ด Q2/54 รับเงินปันผลจาก MFC เกิน 80 ล.ธุรกิจโบรกเกอร์โตต่อ เหตุมีเงินกองทุน 2,900 ลบ.-มี 50 สาขาทั่วปท.-เพิ่มโปรดักส์ใหม่
บล.คันทรี่ กรุ๊ป หรือ CGS สุดปลื้มผลงานไตรมาสแรกปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ครองมาร์เก็ตแชร์เป็น Top 10 ของวงการโบรกเกอร์ และในไตรมาส 2/54 มีข่าวดีต่อเนื่อง จะได้รับเงินปันผลจาก MFC คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 80 ล้านบาท ซึ่งประเมินจากสัดส่วนที่ CGS ถือหุ้นใน MFC ถึง 29 ล้านหุ้น “ดร.ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ” ประเมินปี 2554 ผลประกอบการขยายตัวได้อย่างโดดเด่นต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ระบุนอกจากเงินปันผลแล้ว ในด้านการขยายธุรกิจยังเดินหน้าแบบลุยไม่ยั้ง เหตุมีฐานเงินกองทุนแข็งแกร่งกว่า 2,900 ล้านบาท ซึ่งทำให้มีความพร้อมในการขยายธุรกิจอย่างไม่ต้องกังวล นอกจากนี้ยังมีสาขามากถึง 50 แห่งทั่วประเทศ และเร่งออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถบริการลูกค้าและสนองตอบความต้องการได้อย่างครบวงจร
ดร.ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CGS) เปิดเผยว่าผลงานในไตรมาสแรกของปี 2554 ออกมาเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง โดยสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดติดอันดับ Top 10 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้ตั้งเอาไว้ ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากสภาวะของตลาดหุ้นที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง ทำให้นักลงทุนให้ความสนใจและกลับเข้ามาซื้อขายกันอย่างหนาแน่น ขณะเดียวกันในส่วนของ CGS พนักงานทุกคนก็ดูแลเอาใจใส่และให้บริการกับลูกค้าอย่างเต็มที่สำหรับภาพโดยรวมของ CGS ในปีนี้มีความมั่นใจว่าจะสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดให้อยู่ในอันดับต้นๆ เอาไว้ได้เช่นเดิม
ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยผันผวนในช่วงต้นไตรมาสตามตลาดหุ้นรอบบ้านโดยได้รับปัจจัยลบมาจาก ความกังวลด้านเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นทั่วโลก ปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของยุโรป และปัญหาการเกิดจลาจลเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนรัฐบาลในประเทศกลุ่มมุสลิม อย่างไรก็ตามหลังจากปัจจัยต่างๆ ไม่เกิดความรุนแรงมากนัก ทำให้นักลงทุนต่างประเทศมองว่าแถบภูมิภาคเอเชียยังมีความมั่นคงด้านเศรษฐกิจและการลงทุนจึง หันมาเพิ่มน้ำหนักให้แก่ภูมิภาคนี้จนตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้นในทุกตลาด สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้นปรับตัวสูงขึ้นจากระดับ 1044 จุด จากนั้นผันผวนลงไปถึงระดับ 940 จุดด้วยสาเหตุของการจลาจลในกลุ่มประเทศมุสลิม จากนั้นฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องสู่ระดับ 1,041 จุด ณ สิ้นไตรมาส 1/54
และสำหรับแนวโน้มในไตรมาสสองนี้คาดว่าจะมีปัจจัยเสริมจากการประกาศผลประกอบการ Q1 ซึ่งยังมีแนวโน้มดี และการจ่ายปันผลของ บจ ช่วงระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกยังรับรู้ปัจจัยเสริมจากเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังขยายตัวดี โดยมีการปรับเพิ่ม GDP จากระดับ 2.8% เป็น 3.1% (ปรับเมื่อสิ้น Q1 ที่ผ่านมา) ดังนั้นคาดว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไตรมาส 2 ยังมีแนวโน้มที่ดี สำหรับปัจจัยการเลือกตั้ง หากพิจารณาจากสถิติในครั้งที่ผ่านมา จะเป็นตัวเสริมให้หุ้นคึกคักในบางกลุ่ม แต่หลังจากทราบผลการเลือกตั้งแล้วตลาดโดยรวมจะมีการ sell on fact เราคาดว่า Q2 ดัชนีจะแกว่งตัวระหว่าง 1040 — 1140 จุด
“สำหรับไตรมาส 2/54 ถือเป็นไตรมาสที่ CGS มีข่าวดีอย่างมาก นั่นคือบริษัทจะได้รับเงินปันผลจาก บลจ.เอ็มเอฟซี หรือ MFC คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 80 ล้านบาททีเดียว เนื่องจาก MFC ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 2.90 บาท ซึ่ง CGS ถือหุ้นใน MFC สัดส่วนรวมประมาณร้อยละ 24 โดยมีจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ประมาณ 29 ล้านหุ้น จึงเปรียบเสมือนโบนัสพิเศษที่เพิ่มเข้ามานอกเหนือจากผลประกอบการที่เกิดจากการดำเนินงานตามปกติ ดังนั้นจึงทำให้มั่นใจว่าผลประกอบการของ CGS ในรอบปี 2554 จึงน่าจะมีอัตราการขยายตัวที่โดดเด่นอย่างแน่นอน”
เขากล่าวต่อถึงแผนการขยายธุรกิจในปี 2554 ว่ายังเดินหน้าอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของการเป็นโบรก เกอร์ประเภท One Stop Service เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างสูงสุด ซึ่ง CGS สามารถดำเนินการได้โดยไม่สะดุด ด้วยบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีมาก โดยปัจจุบันมีฐานะเงินกองทุนแข็งแกร่งมาก โดยมีเงินกองทุนกว่า 2,900 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็มีจำนวนสาขาอยู่ทั่วประเทศมากถึง 50 แห่ง และมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทางการเงินอย่างต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจ “SBL” คือ การยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ และ “Derivative Warrants” คือใบสำคัญแสดงสิทธิ์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในช่วงครึ่งหลังปี 2554
“ขณะนี้ถือเป็นช่วง Turn Around ของ CGS โดยรอบปี 2553 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 886.48 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2552 และยังเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปีที่ CGS สามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ ในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น ทั้งๆ ที่รอบปี 2553 มีกำไรต่อหุ้นที่ 0.084 บาทต่อหุ้น แต่เพราะต้องการตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัท จึงได้นำส่วนของกำไรสะสมมาจ่ายให้ด้วย โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2553 บริษัทมีกำไรสะสม จำนวน 386.31 ล้านบาท” ดร.ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด
ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ : IR network
คุณณัฐสินี ระเบียบนาวีนุรักษ์ (เก๋) e-mail : natsinee@irnetwork.co.th
คุณณัฐพงษ์ ใจแกล้ว (มิกซ์) e-mail : nattaphong@irnetwork.co.th