กรุงเทพฯ--11 เม.ย.--ปตท.
ฝ่ายบริหารความเสี่ยงราคาและวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รายงานถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันว่า ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยสัปดาห์ที่ 4-8 เม.ย. 54 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนทุกชนิดราคาน้ำมันดิบดูไบ (Dubai) เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 5.63 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล อยู่ที่ระดับ 114.83 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ เบรนท์ (Brent) เพิ่มขึ้น 6.75 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล อยู่ที่ 122.98 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล และน้ำมันดิบ เวสเท็กซัส (WTI) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.19 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรลอยู่ที่ 109.73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบรนท์ และเวสเท็กซัสทำสถิติสูงสุดในรอบสองปีครึ่งในวันที่ 8 เม.ย. 54 อยู่ที่ระดับ 117.21 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล, 126.65 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล และ 112.79 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล ตามลำดับ ขณะที่ราคาน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 5.44 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล อยู่ที่ 127.95 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 6.11 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล อยู่ที่ 138.18 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล โดยมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงราคา ได้แก่
(+) สถานการณ์ความไม่สงบในประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบ อาทิ ลิเบียมีระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นโดยมีการโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันดิบได้รับความเสียหาย
(+) บริษัทเอกชนในบาห์เรนปลดพนักงานมุสลิมนิกายชีอะห์มากกว่า 100 คนออกจากงาน เนื่องจากพนักงานดังกล่าวหยุดงานประท้วงต่อต้านคณะรัฐบาลที่นับถือมุสลิมนิกายสุหนี่
(+) องค์กรนิรโทษกรรมสากลรายงานมีผู้เสียชีวิตในประเทศไนจีเรียแล้วมากกว่า 50 คน จากความรุนแรงทางการเมืองที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 16 เม.ย. นี้ ซึ่งสร้างความกังวลว่าอาจเกิดเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมขึ้นบริเวณแหล่งผลิตน้ำมัน
(+) นักลงทุนมีการซื้อขายน้ำมันดิบ ICE Brent ในตลาดซื้อขายล่วงหน้า Inter Continental Exchange (ICE) ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษในเดือน มี.ค. 54 ทำสถิติซื้อขายสูงสุด โดยมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 26% อยู่ที่ 11.1 ล้านสัญญา
(+) อัตราการว่างงานของประเทศสหรัฐฯ ลดลง 4 เดือนติดต่อกันโดยเดือน มี.ค. 54 อยู่ที่ 8.8% จำนวน ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของประเทศสหรัฐ (Initial Jobless Claims) สัปดาห์สิ้นสุด 2 เม.ย. 54 ลดลง 10,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนมาอยู่ที่ 382,000 ราย
(-) Energy Information Administration (EIA) รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ของสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 1 เม.ย. 54 เพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล จากสัปดาห์ก่อนหน้า อยู่ที่ระดับ 357.7 ล้านบาร์เรล และ Distillates เพิ่มขึ้น 0.2 MMB อยู่ที่ระดับ 153.5 MMB อย่างไรก็ตามปริมาณสำรอง Gasoline ลดลง 0.4 ล้านบาร์เรล อยู่ที่ระดับ 216.7 ล้านบาร์เรล เป็นระดับสำรองที่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.7 ล้านบาร์เรล
(-) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย 0.25% อยู่ที่ระดับ 1.25% นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือน ก.ค. 2551
(-) กระทรวงพลังงานรัสเซียรายงานปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในเดือน มี.ค. 54 อยู่ที่ 10.19 MMBD ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน ทั้งนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการปฏิรูประบบภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุนในแหล่งน้ำมันทั้งใหม่และเก่า
(-) ธนาคารกลางจีนเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และเงินกู้ 0.25% อยู่ที่ 6.31% และ 3.25% ตามลำดับ เป็นการเพิ่มครั้งที่ 4 ในรอบ 7 เดือน
สำหรับแนวโน้มสัปดาห์นี้ ในระยะสั้นคาดว่าราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent จะแกว่งตัวอยู่ที่ระดับ 107-116 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล และ 120-130 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันจะทรงตัวในระดับสูง เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันจากโรงกลั่นในยุโรปมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในเดือน เม.ย. 54 ภายหลังเสร็จสิ้นการปิดซ่อมบำรุงในเดือน ก.พ. - มี.ค. และการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลลิเบียกับฝ่ายต่อต้านยังไม่ยุติ ขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถเริ่มต้นการเจรจาหยุดยิงได้โดยล่าสุดมีการโจมตีทางอากาศบริเวณแหล่งผลิตน้ำมันส่งผลให้ตลาดมีความกังวลว่าอุปทานน้ำมันดิบที่ขาดหายไปจะไม่สามารถกลับมาผลิตได้ตามปกติในทันที พร้อมกันนี้นักวิเคราะห์อ้างถึงความเสียหายจากสงครามอ่าวเปอร์เซียปี 2534 พบว่าแหล่งผลิตน้ำมันของคูเวตต้องใช้เวลากว่า 2 ปีเพื่อซ่อมแซม และกลับมาดำเนินการผลิต ควรติดตามการเลือกตั้งประธานาธิบดีไนจีเรีย ตลอดจนมาตรการขององค์การสหประชาชาติว่าจะสามารถยุติการปะทะกันระหว่างฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายต่อต้านในลิเบียได้อย่างไร และให้จับตามองรายงานทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และยอดการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน