ลงทุนไตรมาสแรกสดใส ขยายตัวทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุน บีโอไอเผยผลสำรวจพบ บริษัทชั้นนำเตรียมขยายการลงทุนและจ้างงานเพิ่ม

ข่าวทั่วไป Monday April 11, 2011 15:59 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--11 เม.ย.--บีโอไอ บีโอไอเผย ภาวะการลงทุนไตรมาสแรกปีนี้สดใส หลังจากมีจำนวนโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมลงทุน 453 โครงการ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 58% โดยมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 117,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้ว 13% พร้อมเผยผลสำรวจบริษัทขนาดใหญ่ช่วงกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบในปีนี้มีแผนขยายการลงทุนอีกกว่า 1.3 แสนล้านบาท และจะเพิ่มการจ้างงานเกือบ 30,000 ตำแหน่ง นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า ภาวะการลงทุนในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ (มกราคม — มีนาคม) ขยายตัวทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุน โดยมีโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมรวม 453 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 58 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวน 286 โครงการ ขณะที่มูลค่าเงินลงทุนรวมของไตรมาสแรกปีนี้ มีมูลค่าประมาณ 117,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13 สำหรับอุตสาหกรรมที่มีการขอรับส่งเสริมลงทุนมากที่สุด คือ อุตสหกรรมปิโตรเคมี กระดาษและพลาสติก มีเงินลงทุนรวม 30,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 10 เท่า เพราะมีโครงการขนาดใหญ่ ยื่นขอรับส่งเสริมในกิจการผลิตปิโตรเคมี และผลิตเยื่อกระดาษ มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 22,000 ล้านบาท อันดับที่สองคือ อุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค มีเงินลงทุนรวม 27,800 ล้านบาท มีโครงการสำคัญ คือ กิจการผลิตไฟฟ้าจากของเสียจากกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษ โรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โครงการขนส่งทางท่อ กิจการโรงแรม มูลค่าลงทุนรวมกว่า 11,000 ล้านบาท อันดับสาม คือ อุตสาหกรรมโลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 24,500 ล้านบาท มีโครงการสำคัญ ได้แก่ กิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ รวม 3 โครงการ กิจการผลิตเครื่องจักรและชิ้นส่วนมูลค่าลงทุนรวมกว่า 10,000 ล้านบาท ตามด้วย อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 14,500 ล้านบาท มีโครงการสำคัญ ได้แก่ กิจการผลิต Wafer Probe และ กิจการผลิต IC และกิจการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ลงทุนรวมกว่า 7,000 ล้านบาท ส่วนอุตสาหกรรมเกษตร มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 12,200 ล้านบาท มีโครงการลงทุนที่สำคัญได้แก่ กิจการผลิต Particle Board กิจการผลิตอาหารสัตว์ และกิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ มูลค่าลงทุนรวมกว่า 4,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือ เอฟดีไอ (Foreign Direct Investment) ในช่วง ไตรมาสแรก มีจำนวนทั้งสิ้น 254 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 70,111 ล้านบาท โดยการลงทุนจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขอรับส่งเสริมมากที่สุดทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน มีจำนวน 132 โครงการ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 52 ของโครงการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด และมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 35,346 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 67 โดยมีโครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ลงทุนรวมกว่า 10,000 ล้านบาท เป็นต้น รองลงมาเป็นการลงทุนจากประเทศสิงคโปร์ มีมูลค่าการลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14 ของมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศ โครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการผลิต IC และโครงการผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ เงินลงทุนรวมกว่า 7,000 ล้านบาท อันดับสาม คือประเทศฮ่องกง โดยมีมูลค่าลงทุนรวม 9,749 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13 ของมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศทั้งสิ้น โครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าจากของเสียจากกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษ โครงการ Theme Park และโครงการโรงแรม เงินลงทุนกว่า 8,000 ล้านบาท ผลสำรวจชี้ บริษัทขนาดใหญ่ เตรียมขยายการลงทุน-จ้างงานเพิ่ม ด้านนางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการบีโอไอ กล่าวถึงผลสำรวจภาวะการจ้างงาน และการผลิต ของบริษัทขนาดใหญ่ที่ได้รับการส่งเสริม มูลค่าเงินลงทุนของทุกโครงการรวมกันตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป โดยการสำรวจเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2554 มีบริษัทที่ตอบแบบสอบถามจำนวน 310 บริษัท ซึ่งระบุว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทำให้อุปสงค์ของตลาดหลักๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ในอีก 6 เดือนข้างหน้า บริษัทมีแนวโน้มจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นถึง 29,863 คน ทั้งนี้ แนวโน้มการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มยานยนต์และผลิตภัณฑ์โลหะ กลุ่มเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร นอกจากนี้ บริษัทที่ตอบแบบสอบถาม 310 ราย ระบุด้วยว่า ในปีนี้ จะมีการเพิ่มอัตราการใช้กำลังผลิตจากร้อยละ 67 ในปี 2553 เป็นร้อยละ 75 ในปี 2554 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกหมวดอุตสาหกรรม โดยหมวดเกษตรกรรมและผลผลิตทางการเกษตร คาดว่าจะใช้กำลังผลิตสูงสุด คือ ร้อยละ 82 รองลงมา คือ หมวดเคมี กระดาษ และพลาสติก ร้อยละ 81 และหมวดยานยนต์และผลิตภัณฑ์โลหะ ร้อยละ 78 นางอรรชกากล่าวด้วยว่า มี 109 บริษัทจากจำนวน 310 บริษัทที่ตอบแบบสอบถาม มีแผนจะขยายการลงทุนในปี 2554 มูลค่าเงินลงทุนรวม 130,575 ล้านบาท กระจายอยู่ในทุกอุตสาหกรรม อันดับหนึ่งคือกลุ่มอุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค จะขยายการลงทุนกว่า 58,000 ล้านบาท รองลงมา คือ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จะขยายการลงทุนกว่า 23,000 ล้านบาท กลุ่มหมวดยานยนต์และผลิตภัณฑ์โลหะ จะขยายการลงทุนกว่า 21,000 ล้านบาท และกลุ่มเคมี กระดาษ และพลาสติก จะขยายการลงทุนกว่า 16,000 ล้านบาท
แท็ก บีโอไอ  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ