ฟิทช์ให้อันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันภายใต้โครงการ Euro MTN Programme ของธนาคารไทยพาณิชย์

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 28, 2011 15:07 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--28 เม.ย.--ฟิทช์ เรทติ้งส์ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ประกาศให้อันดับเครดิต ‘BBB+’ แก่หุ้นกู้ไม่มีหลักประกันที่จะออกภายใต้โครงการ Euro Medium-Term-Note (MTN) Programme มูลค่าไม่เกิน 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB (อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของ SCB อยู่ที่ BBB+ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) อันดับเครดิตของ SCB สะท้อนถึงผลการดำเนินงานโดยรวมที่แข็งแกร่ง รวมถึงสภาพคล่องที่พอเพียงและเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง ซึ่งในความเห็นของฟิทช์น่าจะช่วยให้ธนาคารสามารถรองรับผลกระทบหากสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานมีการปรับตัวอ่อนแอลงอย่างรุนแรง ธนาคารยังเป็นผู้นำทางด้านเครือข่ายของเงินฝากและสินเชื่อ โดยมีธุรกิจสินเชื่อรายย่อยที่ถือได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดสำหรับธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย โดย SCB มีสินเชื่อรายย่อยคิดเป็น 38% ของสินเชื่อรวม ธนาคารยังมีธุรกิจทางการเงินซึ่งรวมถึงธุรกิจจัดการกองทุนและธุรกิจหลักทรัพย์ ในเดือนมีนาคม 2554 ธนาคารได้เข้าซื้อหุ้นในบริษัทไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ SCNYL ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเป็น 94.6% จาก 47.3% ซึ่งเป็นการขยายฐานธุรกิจประกันภัย โดยปัจจุบัน SCB มีทั้งธุรกิจประกันชีวิตและประกันทรัพย์สิน ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญกับสภาวะความไม่สงบของการเมืองในประเทศในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา SCB สามารถมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิ(รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย) อยู่ที่ 2.43 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงมีการสำรองหนี้สูญที่ลดลง ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2554 ธนาคารมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 104.4% มาอยู่ที่ 1.31 หมื่นล้านบาท โดยเป็นผลจากกำไรพิเศษครั้งเดียวที่เกิดขึ้นจากการลงทุนเพิ่มใน SCNYL ซึ่งเป็นผลจากการตีมูลค่าราคาเงินลงทุนตามมาตรฐานทางบัญชีใหม่ส่งผลให้มีกำไรจำนวน 5.1 พันล้านบาท หากไม่นับรวมกำไรครั้งเดียวที่เกิดขึ้นดังกล่าว SCB มีกำไรสุทธิที่ยังแข็งแกร่งที่ 8.0 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจาก การเติบโตของสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น 20% และการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าบริการและค่าธรรมเนียมสุทธิส่วนหนึ่งมาจากการรวมงบการเงินของ SCNYL ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (รวมค่าใช้จ่ายเงินสมทบสถาบันคุ้มครองเงินฝาก) ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 3.3% ในไตรมาส 1 ปี 2554 จาก 3.4% ในไตรมาส 1 ปี 2553 ซึ่งเกิดจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นจากทิศทางของดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้น อัตราส่วน ROAA (อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ยต่อปี) และ ROAE (อัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นเฉลี่ยต่อปี) อยู่ที่ระดับ 2% และ 18.7% ตามลำดับ ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2554 เทียบกับระดับ 1.8% และ 16.2% ตามลำดับ ณ สิ้นปี 2553 สินเชื่อด้อยคุณภาพของ SCB ได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 3.83 หมื่นล้านบาท หรือ 3.4% ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2554 จากระดับ 3.88 หมื่นล้านบาท (3.7%) ณ สิ้นปี 2553 และ 4.48 หมื่นล้านบาท (4.8%) ณ สิ้นปี 2552 เนื่องจากการจำหน่ายสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และการลดลงของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ใหม่ สินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษยังปรับตัวลดลงอย่างมากมาอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท หรือ 1.3% ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2554 จากระดับ 2.93 หมื่นล้านบาท (2.8%) ณ สิ้นปี 2553 และ 3.26 หมื่นล้านบาท (3.5%) ณ สิ้นปี 2552 อันเป็นผลจากนโยบายป้องกันการเกิดสินเชื่อด้อยคุณภาพใหม่ที่รัดกุม และความสามารถในการชำระเงินของลูกหนี้ตามสภาวะเศรษฐกิจที่มีทิศทางดีขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ปี 2553 จากการที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ลดลงทำให้อัตราส่วนสำรองหนี้สูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารปรับตัวดีขึ้นมาที่ระดับ 110.5% ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2554 จากระดับ 107.3% ณ สิ้นปี 2553 และระดับ 95.7% ณ สิ้นปี 2552 ความสามารถในการระดมทุนและสภาพคล่องของ SCB ยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากเครือข่ายสาขาของธนาคารที่มีฐานเงินฝากลูกค้ารายย่อยจำนวนมาก โดยอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก(รวมตั๋วแลกเงิน) อยู่ที่ 95.2% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 เทียบกับ 93.3% ณ สิ้นปี 2553 สถานะเงินกองทุนของธนาคารยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งถึงแม้ว่าจะมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 11.6% และอัตราส่วนเงินกองทุนรวมอยู่ที่ 15.5% ณ สิ้นปี 2553 เทียบกับ 12.3% และ 16.5% ตามลำดับ ณ สิ้นปี 2552 ในขณะที่ผลจากการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มเติมใน SCNYL ในไตรมาส 1 ปี 2554 จะมีผลทำให้อัตราส่วนของเงินกองทุนของธนาคารลดลงสุทธิประมาณ 0.5% ธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งก่อตั้งโดยพระบรมราชานุญาต ในปี 2447 เป็นธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศไทยโดยมีส่วนแบ่งการตลาดของสินเชื่อประมาณ 15% และเงินฝากประมาณ 16% ณ สิ้นปี 2553 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ประมาณ 24% และแม้ว่ากระทรวงการคลังจะมีการถือหุ้นผ่านกองทุนวายุภักษ์อยู่ที่ประมาณ 23% แต่มีจำนวนกรรมการที่เป็นตัวแทนจากกระทรวงการคลังไม่มากและไม่มีส่วนร่วมในการบริหารงานในธนาคาร ติดต่อ Primary Analyst วสันต์ ผลเจริญ Director +662 655 4758 บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด 55 ถนน วิทยุ ลุมพินี ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 Secondary analyst พชร ศรายุทธ Associate Director +662 655 4761 กรุงเทพฯ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ