กรุงเทพฯ--9 พ.ค.--PRdd
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางราคาทองคำในช่วงนี้เป็นช่วงของการปรับฐานราคา โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ปรับตัวลงอย่างหนักกว่า 70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากราคาทองคำได้ทยานขึ้นทำจุดสูงสุดบริเวณ1,576 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สำหรับปัจจัยที่กดดันราคาทองคำคือการกลับมาแข็งค่าของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่เงินสกุลยูโรเริ่มมีการปรับอ่อนค่าอย่างมีนัยสำคัญจากประเด็นธนาคารกลางยุโรปมีมติคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่ 1.25% สร้างความผิดหวังให้กับตลาดที่มีการคาดการณ์กันว่าน่าจะมีปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ ราคาทองคำตั้งแต่ปลายเดือนที่ผ่านมามีการแกว่งตัวอย่างมาก การปรับขึ้นลงของราคาในช่วง 20-30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยตลาดไม่ได้มีปัจจัยใหม่ๆเข้ามาชี้นำ แสดงให้เห็นว่าต้องเกิดการเก็งกำไรอย่างมากในตลาด ซึ่งทางวายแอลจีเชื่อว่าการปรับตัวลงในครั้งนี้ เกิดจากแรงเทขายทำกำไรของพวกกองทุนต่างๆ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุนอีทีเอฟที่ลงทุนในทองคำแท่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกยังได้ลดการถือครองทองคำลงกว่า 24.26 ตัน ประกอบกับนักลงทุนรายย่อยได้ร่วมเทขายออกมาด้วยเช่นกัน
นางสาวฐิภา กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้นักลงทุนรอดูจังหวะการย่อตัวลงมาอีกครั้งของราคาทองคำเพื่อเข้าซื้อในต้นทุนที่ต่ำ โดยวายแอลจีประเมินว่าราคาน่าจะขยับลงมาบริเวณ 1,480-1,460 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือ 21,100-20,820บาทต่อบาททองซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง แต่สำหรับสำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้ว อาจทยอยซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาในบริเวณ 1,460 และ1,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือ 20,830และ20,540บาทต่อบาททอง การขยับตัวลงของราคาถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าสะสมทองคำ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงหนุนราคาทองคำอย่างแข็งแกร่งไม่ว่าจะเป็นปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่ลุกลามไปทั่วโลก ปัญหาจลาจลในตะวันออกกลาง ปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป หรือแม้กระทั่งสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐที่ยังคงอ่อนแอ อีกทั้งการปรับตัวลงของราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางโกลด์แมนแซคส์ได้ให้ความเห็นว่าเป็นการปรับฐานครั้งใหญ่ไปแล้วและเชื่อว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นต่อไปได้ ซึ่งประเด็นเหล่านี้จะผลักดันให้ราคาทองคำขยับตัวขึ้นไปได้ในที่สุด