กรุงเทพฯ--12 พ.ค.--สปาร์ค คอมมิวนิเคชั่นส์
ในไตรมาส 1 ปี 2554 บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ("MINT") มีกำไรสุทธิ 823 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ร้อยละ 26 เป็น 6,686 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ MINT ได้บันทึกรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์และโครงการพักผ่อนแบบปันส่วนเวลาจำนวน 908 ล้านบาท ในขณะเดียวกันธุรกิจโรงแรม ธุรกิจอาหาร และธุรกิจค้าปลีกของ MINT มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น
ดังจะเห็นได้จากรายได้รวมของสามธุรกิจดังกล่าวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ด้วยตัวชี้วัดผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นและโอกาสที่ MINT จะสามารถขายอสังหาริมทรัพย์และโครงการพักผ่อนแบบปันส่วนเวลาได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ MINT น่าจะมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในปี 254 ตามที่คาดไว้ ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา กำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) ของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 จากกำไรของโรงแรมที่บริษัทลงทุนเอง การรับจ้างบริหารโรงแรม การขายอสังหาริมทรัพย์และโครงการพักผ่อนแบบปันส่วนเวลา ในเดือนธันวาคม 2553 ที่ผ่านมา MINT ได้เปิดตัวขายโครงการคอนโดมิเนียม เซ็นต์ รีจิส เรสซิเดนท์ จำนวน 53 ยูนิตอย่างเป็นทางการและเริ่มขายโครงการพักผ่อนแบบปันส่วนเวลาภายใต้แบรนด์อนันตรา ในไตรมาสนี้บริษัทได้บันทึกรายได้จากการขายเรสซิเดนท์และโครงการพักผ่อนแบบปันส่วนเวลา 908 ล้านบาท ในขณะที่ธุรกิจโรงแรมของ MINT มีผลประกอบการที่ดีเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 1 ปี 2554
บริษัทยังคงมีกลยุทธ์ในการหาโอกาสที่จะขยายธุรกิจผ่านการลงทุน โดยในไตรมาสนี้ MINT ได้เข้าซื้อหุ้นเปรียบเสมือนร้อยละ 19.96 ในOaks Hotels & Resorts Limited และอยู่ระหว่างกระบวนการซื้อหุ้นเพิ่มเพื่อให้มีอำนาจควบคุมบริษัทอีกด้วย Oaks เป็นบริษัทที่ดำเนินการบริหารจัดการโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 30 แห่งในประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และดูไบ และเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศออสเตรเลีย ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด A$ 96 ล้าน ในปี 2553 Oaks มีEBITDA จำนวน A$ 25.3 ล้าน ในไตรมาส 1 ปี 254 ธุรกิจอาหารของ MINT มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของการเติบโตของยอดขายต่อร้าน (Same-store-sales) ร้อยละ 7.8 และการเปิดสาขาร้านอาหารเพิ่มขึ้นอีก 9 สาขา ขณะที่ธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าและรับจ้างผลิตสินค้ามีผลการดำเนินงานที่ดีเช่นกัน โดยมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 และ EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 68 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจระดับสากล โดยประกอบ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจโรงแรม และผู้จัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น MINT เป็นผู้นำในธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยมีร้านอาหารกว่า 1,100 สาขา ใน 15 ประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า เดอะ พิซซ่า คอมปะนี สเวนเซ่นส์ ซิซซ์เลอร์ แดรี่ควีน เบอร์เกอร์คิง ไทยเอ็กซ์เพรส และเดอะ คอฟฟี่ คลับ อีกทั้งยังเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจโรงแรมทั้งในรูปแบบเป็นเจ้าของเอง บริหารจัดการ และร่วมลงทุน โดยมีโรงแรมทั้งสิ้น 35 โรงแรม ใน 8 ประเทศ
ภายใต้เครื่องหมายการค้า อนันตรา แมริออทส์ โฟร์ซีซั่นส์ เอเลวาน่า และโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในประเทศไทย มัลดีฟส์ เวียดนาม แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอินโดนีเซีย นอกจากนี้ MINT ยังเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นจากต่างประเทศ ทั้งเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องสำอาง และธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า โดยมีโรงงานเป็นของตัวเอง โดยเครื่องหมายการค้าที่ MINT เป็นผู้จัดจำหน่ายในปัจจุบันได้แก่ แก๊ป เอสปรี บอสสินี่ ชาร์ลสแอนด์คีธ เรดเอิร์ธ บลูม ลาเนจ สแมชบ็อกซ์ ทูมี่ เฮงเคล ไทม์ไลฟ์ และเวิลด์บุ๊ค นอกจากนี้ ในเดือนพฤษภาคม ปี 2553 MINT ได้รับการยอมรับจากนิตยสารไฟแนนซ์เอเชียว่าเป็นบริษัทที่มีการจัดการดีเยี่ยมในกลุ่มบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดขนาดกลางของประเทศไทย สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ www.minorinternational.com