กรุงเทพฯ--13 พ.ค.--กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
โครงการบ้าน ธอส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาล ประสบความสำเร็จ ประชาชนให้ความสนใจแห่ยื่นกู้ทั่วประเทศ ส่งผลให้ธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์คึกคัก ยืนยันความโปร่งใสด้วยระบบบันทึกข้อมูลออนไลน์แบบ Real Time นาทีต่อนาที พร้อมกันทั่วประเทศ ยอดยื่นกู้รวม 3 วัน (ณ วันที่ 11 พ.ค.54 เวลา 17.00 น.) มีจำนวนลูกค้ากว่า 9,980 ราย รวมวงเงินกว่า 14,570 ล้านบาท ยังคงมีวงเงินเหลืออีกประมาณ 10,000 ล้านบาท
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้า “โครงการบ้าน ธอส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก” นี้ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี ถือว่าประสบความสำเร็จตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระประชาชนที่ต้องการมีบ้านหลังแรกเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองได้เข้าถึงแหล่งเงิน นอกจากนั้น รัฐบาลยังช่วยแบ่งเบาภาระค่าจดจำนอง 1% และค่าธรรมเนียมการโอนครึ่งหนึ่งหรือจ่ายตามจริงสูงสุด 1.00% (จากค่าโอนปกติ 2.00% ของราคาประเมิน) โดย ธอส.ได้สรุปวงเงินยื่นกู้ของวันที่ 11 พ.ค.54 ณ เวลา 17.00 น. มีจำนวนลูกค้า 1,673 ราย วงเงิน 2,269 ล้านบาท และยอดยื่นขอสินเชื่อในช่วง 3 วัน หลังจากเปิดโครงการนับตั้งแต่ วันที่ 9 — 11 พฤษภาคม เป็นต้นมา มีประชาชนเข้ายื่นกู้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศแล้วกว่า 9,980 ราย รวมวงเงิน ยื่นกู้กว่า 14,570 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณ 1.45 ล้านบาท/ราย แบ่งเป็นลูกค้าเขตกรุงเทพปริมณฑล 45% และต่างจังหวัด 55% คาดว่า ธอส. จะพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้ภายใน 3 สัปดาห์ สำหรับผู้ที่ยื่นกู้รายแรกๆ โดย วงเงินที่ยังเหลืออีกประมาณ 10,000 ล้านบาทนั้น คาดว่าจะใช้เวลาอีกไม่เกิน 2 เดือน ในการให้สินเชื่อได้ครบ 25,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากการพูดคุยกับประชาชนที่มายื่นขอกู้ก็พบว่าทุกคนล้วนแสดงความพอใจในโครงการนี้เพราะรัฐบาลได้ช่วยทำให้ความฝันที่อยากมีบ้านหลังแรกเป็นจริงโดยมีภาระค่าใช้จ่ายที่ลดลงกว่าแสนบาท นอกจากนั้น ในการทำโครงการนี้ของรัฐบาลก็ได้ตั้งเป้าหมายให้กระจายสินเชื่อสู่รายย่อยในต่างจังหวัดมากกว่าครึ่ง ซึ่งก็ถือว่าได้บรรลุเป้าหมายเชิงภูมิศาสตร์ดังกล่าวด้วย หากลูกค้าที่สนใจยื่นกู้ในโครงการฯ สามารถติดต่อ ธอส.ได้ที่สาขาทั่วประเทศ จำนวน 153 แห่ง โดยขอให้เตรียมเอกสารหลักฐานประกอบการยื่นกู้ให้ครบถ้วน เพื่อจะได้ไม่พลาดโอกาสทองครั้งนี้ โดยหลังจากที่วงเงินกู้หมดลงแล้วและมีเสียงเรียกร้องจากประชาชนอีกเป็นจำนวนมากก็เชื่อมั่นว่ารัฐบาลชุดใหม่น่าจะสานต่อโครงการนี้เนื่องจากเป็นสิ่งที่ประชาชนได้ประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด
นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ธอส.ในฐานะผู้นำสินเชื่อเพื่อบ้าน พร้อมที่จะเป็นกลไกของภาครัฐในการช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ จะเห็นได้ว่ากระแสตอบรับจากโครงการสินเชื่อบ้านหลังแรกสร้างความคึกคักให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และแวดวงสถาบันการเงินเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ธนาคารยังมีวงเงินเหลืออีกกว่า 10,000 ล้านบาท รอไว้สำหรับผู้ที่สนใจยื่นกู้ แต่อยู่ระหว่างการเตรียมเอกสารหลักฐานประกอบการยื่นกู้ โดยกำหนดเงื่อนไขการให้กู้สำหรับลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแห่งแรกเป็นของตนเอง จะต้องไม่เคยมีชื่อเป็นเจ้าบ้านในทะเบียนบ้าน และไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองให้กู้เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคาร หรือ ห้องชุด ให้กู้เพื่อปลูกสร้างอาคาร หรือเพื่อซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคาร ทั้งบ้านใหม่ และบ้านมือสอง โดยราคาที่อยู่อาศัยและวงเงินให้กู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท หลักเกณฑ์การพิจารณาการให้สินเชื่อเป็นไปตามระเบียบของธนาคาร อัตราดอกเบี้ย 0% 2 ปีแรก ปีที่ 3 - 5 คิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับ MRR - 0.50% ต่อปี (ลูกค้า สวัสดิการ) ส่วนลูกค้ารายย่อยทั่วไป คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR ปีที่ 6 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR - 1.00% ต่อปี (ลูกค้าสวัสดิการ) MRR - 0.50% ต่อปี (ลูกค้ารายย่อยทั่วไป) ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส.เท่ากับ 6.75% ต่อปี ผ่อนได้นานสูงสุด 30 ปี
สำหรับเอกสารหลักฐานที่ลูกค้าต้องนำมาแสดงในวันยื่นกู้ ต้องลงนามรับรองสำเนาถูกต้องทุกฉบับ มี 5 อย่าง ได้แก่ 1.สำเนาบัตรประชาชน/ข้าราชการ+ทะเบียนสมรส (กรณีสมรสแล้ว) 2.สำเนาทะเบียนบ้านทุกหน้า 3.เอกสารแสดงรายได้ เช่น สลิปเงินเดือน หนังสือรับรองเงินเดือน บัญชีเงินฝาก สำเนาการค้าหลักฐานการเสียภาษีเงินได้ หรือหลักฐานการแสดงฐานะทางการเงินอื่นๆ 4.สำเนาสัญญาจะซื้อจะขาย/สัญญามัดจำ หรือสำเนาใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร/คำขออนุญาต และ 5.สำเนาโฉนด หรือสำเนาหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด.ทั้งนี้ หากลูกค้าที่สนใจยื่นกู้ใน โครงการฯ สามารถติดต่อได้ที่สาขาทั่วประเทศ จำนวน 153 แห่ง โดยขอให้เตรียมเอกสารหลักฐานประกอบการยื่นกู้ให้ครบถ้วน เพื่อจะได้ไม่พลาดโอกาสทองครั้งนี้ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร 02-645 9000 หรือทาง www.ghbank.co.th