กรุงเทพฯ--31 พ.ค.--MMM Digital
แรกเริ่มถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1963 โดยผู้เขียน สแตน ลี และศิลปินอย่างแจ็ค เคอร์บี้ โลกของ X-MEN เป็นเอกสารประกอบอยู่ในหนังสือการณ์ตูนนับพันเล่ม ไม่ได้รับการอ้างอิงถึงรายการแอนิเมชั่นทางทีวี วีดีโอเกมและหนังสือต่างๆ แต่อย่างใด สำหรับผลงานทางจอหนัง ภาพยนตร์แฟรนไชส์ได้ผลิตออกมาเป็นภาพยนตร์ไม่น้อยกว่า 4 ภาคในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เริ่มต้นจากภาพยนตร์เรื่อง X-MEN ของไบรอัน ซิงเกอร์ ในปี 2000 และตามมาด้วยเรื่องล่าสุดในปี 2009 ที่มีการอิงจากเรื่อง X-MEN ORIGINS: WOLVERINE
ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) สร้างความต่อเนื่องในทิศทางใหม่ โดยการเคลื่อนแอ็คชั่นสู่ 1962 ภาพยนตร์สำรวจการเผชิญหน้ากันครั้งแรกระหว่างคู่อริคนสำคัญของภาพยนตร์ชุด เช่น โพรเฟสเซอร์ ชาร์ลส์ ซาเวียร์ และ เอริค เลห์นเชอร์ และมิตรภาพช่วงวัยรุ่นที่มีความตึงเครียดที่เปลี่ยนพวกเขาเป็นอริคู่อาฆาตที่ดุเดือด
ผู้กำกับ แมทธิว วอนก์ เล่าว่ามันเป็นความแตกต่างของตำนาน X-MEN ที่ผู้ชมภาพยนตร์คุ้นเคยกับมัน “สิ่งที่ผมทำเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำกับหนังซูเปอร์ฮีโร่มาก่อน” เขาเปิดเผยในฉากของภาพยนตร์ที่ Pinewood Studios ในลอนดอน “มันเหมือนกับภาพยนตร์เรื่องเจมส์ บอนด์ ในยุค 60 มันเป็นเรื่องระทึกขวัญเกี่ยวกับรัฐบาล แต่นี่คือหนังเรื่อง X-Men ผมไม่หันหลังกลับไปหาเรื่องนั้นแน่”
ภาพยนตร์โดยส่วนใหญ่แล้วเหมาะสมอย่างลงตัวกับโลกแห่ง X-MEN บนจอยักษ์ ซึ่งได้รับการยอมรับโดยไบรอัน ซิงเกอร์ ด้วยภาพยนตร์เรื่อง X-MEN ภาคแรก โดยอนัที่จริงผู้กำกับท่านนั้นหวนสู่เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง “แต่มันไม่เหมือนหนังเรื่อง X-MEN ภาคอื่น ซึ่งผมคิดว่านั่นคือประเด็นสำคัญ” วอนก์กล่าว “ผมคิดว่าพวกเขาต้องการอย่างที่ BATMAN BEGINS ถูกสร้างขึ้นมาหลังเรื่อง BATMAN ทุกตอน ผมไม่ได้พูดว่าเรื่องนี้จะต้องดีเหมือนกับ BATMAN BEGINS แต่มันเป็นรูปแบบเดียวกัน”
สำหรับผู้เขียนบทภาพยนตร์ เจน โกล์ดแมน ซึ่งเป็นแฟนหนังสือการ์ตูนมาอย่างยาวนาน กล่าวว่าการถูกเรียกตัวให้มาเขียนภาพยนตร์เรื่อง X-MEN เหมือนฝันที่เป็นจริง และเธอรู้ตัวดีว่าไม่อยากทำให้แฟนๆ จำนวนมาก ซึ่งรวมถึงตัวเธอต้องผิดหวัง แต่เธอกล่าวว่า “สิ่งที่แมทธิวและฉันซึ่งเป็นแฟนหนังสือการ์ตูนทั้งคู่รู้สึกได้ คือเมื่อนักเขียนหรือศิลปินหน้าใหม่เข้ามาอยู่ในภาพยนตร์ชุด มันต้องมีการนึกถึงสิ่งที่มีอยู่ก่อนหน้านั้น แต่ก็ต้องค้นหาแง่มุมอื่นๆ ด้วย”
ผู้เขียนกล่าวว่ามันคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากจะเล่าเรื่องราวใดๆ ภายในโลก X-MEN โดยทำการเปลี่ยนแปลงหนังสือการ์ตูนที่สร้างขึ้นมาหลายต่อหลายปีให้เป็นที่ยอมรับ “ฉันว่ามันเป็นเรื่องดีที่รู้สึกยึดติดกับประเด็นนั้นเอาไว้มากและเข้าใจมัน แต่ในเวลาเดียวกันหากเราอ่านหลักการทั้งหมดของ X-Men ในเรื่องมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ไม่ใช่แค่ในโลกอย่างที่เห็น แต่มันคือทุกส่วนที่มีการสลับสับเปลี่ยนอย่างที่ผู้เขียนได้ทำขึ้น” เธอให้เหตุผลว่า “ฉันคิดว่าจริงๆ แล้วมันก็ดีที่มีอิสรภาพที่แตกต่างกันไป ขณะที่ยังคงความเคารพในประวัติความเป็นมาของมันไว้ด้วย”
สิ่งสุดท้ายคือทักษะด้านการดัดแปลงที่ต้องสร้างให้ถูกอารมณ์และตรงจังหวะ ซึ่งนั่นหมายถึงความอ่อนโยนที่สำคัญเพื่อสร้างโลกขึ้นมาในแบบของเรา “ประเด็นหลักของเรื่อง ฉันคิดว่าไอเดียของการค้นหาชาร์ลส์ ซาเวียร์ และ เอริค เลห์นเชอร์ ก่อนที่เขาจะกลายเป็นคนที่ดึงดูดความสนใจฉันได้มาก”
วอนก์ชี้ให้เห็นถึงความเหมือนและความต่างระหว่างซาเวียร์กับเลห์นเชอร์ และหนังสือการร์ตูนต้นฉบับเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งเรื่องสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ X-MEN สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในหนังสือการ์ตูนที่มีรูปแบบของยุค 60 “ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง [กับความสัมพันธ์นั้น] เป็นสิ่งที่อ้างอิงจากมาร์ติน ลูเธอร์ คิง และ มัลคอล์ม เอ็กซ์” เขาให้เหตุผล “ในหนังของเรา พวกเขาได้พบปะกันและเราเราเห็นคนหนึ่งเดินตามรอยทางของลูเธอร์ คิง และอีกคนหนึ่งเดินตามรอยมัลคอล์ม เอ็กซ์ นั่นคือส่วนที่มีอยู่แล้วโดยธรรมชาติของโลก X-MEN”
“วิธีที่พวกเขาแสดงถึงอุดมการณ์ที่แบ่งแยกกันนี้” โกล์ดแมนกล่าวต่อ “มันค่อนข้างน่าสนุกที่ได้เฝ้าดูตัวละครทุกตัวนี้ในช่วงที่กำลังก่อร่างอุดมการณ์ขึ้นมา มากกว่าที่พวกเขาจะแบ่งแยกเป็นฝ่ายดีและฝ่ายชั่วอย่างเด่นชัด จากมุมมองการสร้างสรรค์ที่ทำให้ผมหลงใหล และมันน่าตื่นเต้นมากที่ได้ทำให้ตัวละครเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา”
สำหรับนักแสดงอย่างเจมส์ แม็คอวอย ผู้รับบทแสดงเป็น ชาร์ลส์ ซาเวียร์ ฉายาโพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ พัฒนาการของตัวละครคือเหตุผลที่ทำให้เขาร่วมลงชื่อรับบทบาท “มันไม่ใช่แค่หนังซูเปอร์ฮีโร่” เขายืนยัน “นั่นคือสิ่งที่เราต้องการจากหนังของเราทุกเรื่อง เราอยากให้ตัวละครมีพันาการและมีการสืบสาวราวเรื่องอย่างแท้จริง ซึ่งเราได้รับสิ่งนั้นมามาก และโดยส่วนใหญ่มาจากข้อเท็จจริงที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามันมีเรื่องของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ หรือการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ นอกเหนือจากพวกเขา ผมว่ามันเป็นความโดดเดี่ยวหลายอย่าง ฉะนั้นพัฒนาการของตัวละครเกิดจากการรับรู้ว่าเราไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว และมีการสื่อสารกับคนอื่นเป็นครั้งแรกว่าเราผ่านพ้นอะไรมาบ้าง เพราะพวกเขามีการแบ่งปันประสบการณ์กัน”
โรส บริน ผู้นำความโด่งดังของมอยร่า แม็คแท็กการ์ต มาสู่จอภาพยนตร์เชื่อว่าประเด็นสำคัญของหนังอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว “ประเด็นสำคัญคือมิตรภาพระหว่างชาร์ลส์กับเอริค และสาเหตุที่บาดหมางและแตกแยกกัน สำหรับแฟนๆ นั่นเป็นการบอกเล่าเรื่องราวครั้งยิ่งใหญ่ สำหรับฉันนั่นคือแก่นแท้ที่สำคัญของเรื่องราว ส่วนเจมส์ แม็คอวอยและไมเคิล แฟสเบ็นเดอร์ ทั้งคู่ต่างเป็นนักแสดงที่มีฝีมือ พวกเขาใส่มิติลงไปในตัวละครได้จริงๆ ซึ่งฉันคิดว่าแฟนๆ ต้องชอบแน่”
ไมเคิล แฟสเบ็นเดอร์ ผู้แสดงเป็นเอริค เลห์นเชอร์ ฉายาแม็กนีโต มีความจริงจังกับเรื่องแฟนๆ จะตอบสนองต่อภาพยนตร์ซีรี่ส์อย่างไร “ผมชอบโลกใบนั้นและแฟนๆ เหล่านี้มากเพราะพวกเขาเอาใจจดจ่อกับขอบเขตของพวกเขา” เขากล่าว “พวกเขารักมัน แถมพวกเขายังเปล่งเสียงวิจารณ์ออกมาด้วยความกระตือรือร้นอย่างเปิดเผย พวกเขาเป็นแฟนที่เหนียวแน่นที่ติดตามซีรี่ส์จากหนังสือการ์ตูนมาสู่ภาพยนตร์ ฉะนั้นหวังว่าพวกเขาจะมีความสุขกับมัน ถึงอย่างไรมันต้องมีความแตกต่าง และนั่นคือสิ่งความสดใหม่ที่หนังต้องการให้ใส่ลงไป”
แม็คอวอยกล่าวเช่นกันว่า การท้าทายความสามารถคือการสร้างความมั่นใจว่าภาพยนตร์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจได้แค่แฟนๆ ที่เหนียวแน่น แต่ยังไปถึงผู้ชมทั่วไปด้วย “ความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่อง X-MEN และความสำเร็จที่อาจเป็นไปได้ของภาพยนตร์แนวนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้คนที่คุ้นเคยกับมันอยู่แล้วเท่านั้น” เขากล่าว “ต้องมีเด็กอายุน้อยๆ หลายคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือการ์ตูน และหวังว่าจะสนุกไปกับหนังได้อยู่ เราอยากทำงานภายในสภาพแวดล้อมวงจำกัดให้ดี”
กรณีความผูกพันที่คล้ายคลึงกันกับเหล่านักแสดงทุกคนที่ทำงานอย่างหนักเพื่อความมั่นใจว่า ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ซึ่งเป็นที่ต้องการของแฟนๆ คาเล็บ แลนดรี้ โจนส์ ที่รับบทของแบนชี่เป็นตัวบ่งชี้ถึงมุมมองตัวละครที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างหนึ่ง ในหนังสือการ์ตูน ฌอน แคสซิดี้ ฉายาแบนชี่ มีการพูดด้วยสำเนียงที่มีการเน้นเสียงแบบไอริช ขณะที่ในหนังแลนดรี้ โจนส์ ใช้สำเนียงชาวเท็กซัสของเขาเอง
แต่นักแสดงหนุ่มเลี่ยงออกจากแนวทางของเขา เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการสวมบทแบนชี่ของเขาสะท้อนถึงตัวละครในหนังสือการ์ตูนได้อย่างเหมาะสม และเจาะลึกตัวละครอย่างรีบเร่งด้วยการอ่านศึกษาข้อมูลลักษณะท่าทางของแบนชี่จากกองกระดาษกว่า 500 หน้า
และตัวเขาเป็นหนึ่งในแฟนซีรี่ส์เรื่อง X-MEN แลนดรี้ โจนส์ จดจำท่าทางตัวละครเหล่านี้ในยุคของแฟนๆ ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งได้เชื่อมโยงตัวเองเข้ากับสิ่งประดิษฐ์อันทรงอานุภาพที่ถูกถ่ายทอดผ่านหลายจุดแห่งความเป็นจริง ที่เราสามารถเข้าใจมันได้ “ผมพร้อมจะมีภาพลักษณ์แบบแนวแอ็คชั่นแล้ว” เขากล่าว “ผมคงจะชอบมันมาก และเด็กๆ ที่มีผมสีแดงจะออกไปข้างนอกด้วยความรู้สึกรักและสามารถซื้อตุ๊กตาแอ็คชั่นที่มีผมสีแดงได้”
ติดตามเรื่องราวของ X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง)
2 มิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น