บริษัทในเครือเอมิเรตส์สร้างผลกำไรเป็นประวัติการณ์ในปีงบประมาณ 2553-2554

ข่าวท่องเที่ยว Wednesday June 1, 2011 11:45 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--1 มิ.ย.--สปาร์ค คอมมิวนิเคชั่นส์ -บริษัทในเครือเอมิเรตส์มีผลกำไรสุทธิ 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.9 - สายการบินเอมิเรตส์มีผลกำไรสุทธิ 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ - ดนาต้ามีผลกำไรสุทธิ 152.6 ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทในเครือเอมิเรตส์แถลงผลกำไรที่เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ ด้วยมูลค่า 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนับเป็นมูลค่าผลประกอบการที่โดดเด่นถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่ภาวะทางเศรษฐกิจไม่มั่นคง รายงานผลประกอบการปี 2553-2554 ของบริษัทในเครือเอมิเรตส์ประกอบด้วย รายงานของสายการบินเอมิเรตส์ ดนาต้า และบริษัทในเครืออื่น ๆ ซึ่งชี้ค อาเหม็ด บิน ซาอิด อัล มัคตุม ประธานและผู้อำนวยการ สายการบินเอมิเรตส์และบริษัทในเครือได้แถลงถึงผลประกอบการณ์ดังกล่าวที่ดูไบวันนี้ ชี้ค อาเหม็ด กล่าวว่า “ผลประกอบการอันยอดเยี่ยมของปี 2553-2554 ที่ผ่านมา บ่งชี้ให้เห็นถึง แรงผลักดันของเราในการก้าวข้ามขอบเขตอุตสาหกรรมการบิน ด้วยการฉีกกรอบรูปแบบการแข่งขันแบบเดิมๆ แล้วหันมาให้การสนับสนุนการแข่งขันที่เปิดเผย และ ยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางการเมืองที่ไม่มั่นคง หรือ ภัยธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือน เราสามารถผ่านพ้นวิกฤตเหล่านั้นมาได้ ด้วยความมุ่งมั่น และ ความพร้อมในการรับมือต่อสถานการณ์ที่ฉับพลัน จึงทำให้เรา สามารถบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ถึงแม้เอมิเรตส์ต้องเผชิญกับอุปสรรค ทั้งปัญหาทางการเมือง และ ภัยทางธรรมชาติ กำไรของบริษัทในเครือเอมิเรตส์ กลับเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 26.4 ซึ่ง 15.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นมูลค่าที่สูงที่สุดในประวัติการณ์ รายได้ที่แข็งแกร่งนี่เองที่ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทในเครือเอมิเรตส์เป็นไปอย่างน่าประทับใจ ด้วยดุลเงินสดของบริษัทในเครือเอมิเรตส์พุ่งขึ้นสูงสุดเท่าที่เคยมีมาด้วยมูลค่า 4.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ผลประกอบการอันยอดเยี่ยมนี้ คงไม่อาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทขาด ประสิทธิภาพในการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆอย่างฉับไว ในช่วง 6 เดือนแรกของปี เนื่องด้วยเครือข่ายที่เหนือชั้นของเอมิเรตส์ ประกอบกับคุณภาพระดับโลก เอมิเรตส์สามารถรองรับความต้องการในตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นได้อย่างดีเยี่ยม ในช่วง 6 เดือนหลังของปี ความไม่สงบที่เกิดจากความวุ่นวายทางการเมืองในหลายประเทศทั่วโลก มีความรุนแรงที่สุด แต่สายการบินเอมิเรตส์ก็สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ ด้วยการปรับตารางเที่ยวบิน เตรียมความพร้อมของเครื่องบินเพื่อรองรับความต้องการของแต่ละเครือข่าย และ สร้างรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความที่สายการบินเอมิเรตส์สามารถประคับประคองรายรับในช่วงที่ภาวะทางเศรษฐกิจสั่นคลอนได้นั้น ช่วยให้ราคาที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของน้ำมันไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสายการบิน ในปีที่ผ่านมา ดนาต้า ประสบความสำเร็จในการขยายขอบเขตการให้บริการ ไปยังประเทศต่างๆ โดยการเข้าดูแลกิจการ แอลฟา ไฟลท์ กรุ๊ป บริษัทชั้นนำในการให้บริการด้านอาหาร ที่มีสาขาอยู่ใน 61 สนามบิน ทั่วโลก ความพร้อมในการเปิดรับสิ่งใหม่ และ ความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดนาต้า ได้รับตำแหน่ง บริษัทบริหารจัดการทางการบิน อันดับที่ 4 ของโลก ชี้ค อาเหม็ด กล่าวเสริม “หนึ่งในปัจจัยที่ชี้ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของบริษัทเราคือ ผลกำไรอันน่าพอใจที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของพนักงานกว่า 57,000 คน ที่ทำงานอย่างขะมักเขม้น นอกจากนี้ การดำเนินงานที่ไม่ได้อาศัยเพียงเงินสนับสนุน และ รูปแบบการบริหารธุรกิจที่ถูกคิดขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของทีมผู้บริหารเอง ช่วยให้บริษัทสามารถรับมือกับหลากหลายอุปสรรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ” การสนับสนุนอย่างดีของลูกค้าที่มีต่อสายการบินเอมิเรตส์ ก่อให้เกิดรายได้อย่างท่วมท้น ในประวัติการณ์ อีกทั้งจำนวนผู้โดยสารของสายการบินก็เพิ่มสูงสุดเท่าที่เคยมีมาอีกด้วย “เอมิเรตส์ ยังคงมุ่งหน้าลบความเชื่อเดิมๆเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการบิน ด้วยการเป็นแรงผลักดันให้มีการแข่งขันกันอย่างเปิดเผย เพื่อประโยชน์แก่ลูกค้าโดยตรง ลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินงานของเรา จะเห็นได้ว่า จำนวนผู้โดยสารกว่า 31.4 ล้าน ที่เลือกเดินทางกับเราในปีที่ผ่านมา เป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 14.5 หรือ 4 ล้านรายทีเดียว” ในส่วนของ รายจ่าย บริษัทชำระค่าตราสารหนี้ ซึ่งถึงกำหนดชำระคืน ในวันที่ 24 มีนาคม 2554 เป็นมูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นตราสารหนี้ที่ถูกจดทะเบียนกับ ลักเซมเบิร์ก สต็อก เอ็กเชนจ์ ในปี 2547 ตามสัญญา 7 ปี รายงานผลประกอบการประจำปี 2553-2554 ของบริษัทในเครือเอมิเรตส์ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า หลักการบริหารธุรกิจอย่างเปิดกว้างนำมาสู่ความสำเร็จ และ การสร้างผลกำไรแก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง “การที่บริษัทมีทัศนคติที่เปิดรับไอเดียใหม่ๆ ช่วยให้บริษัทเรามีความได้เปรียบทางธุรกิจ ตราบใดที่เรามั่นใจว่าเรายังคงสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้า และ สร้างแรงผลักดันให้กับพนักงาน นั่นเป็นเกณฑ์การประเมินความสำเร็จอย่างแท้จริง” ชี้ค อาเหม็ด กล่าว “สำหรับอนาคต เรายังยึดมั่นในกลยุทธ์เดิมในการลงทุนและให้ความสำคัญ ต่อกลุ่มลูกค้าหลัก เพื่อการเติบโตต่อไป เรามีความมุ่งหวังที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับ กรอบการแข่งขันในตลาดการบิน เพื่อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมโดยรวม และ ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย” รายได้ของสายการบินเอมิเรตส์เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นด้วยร้อยละ 25 จากปีก่อน เป็นมูลค่า 14.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ สายการบินได้สร้างผลกำไร 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.9 จากปีงบประมาณ 2552-53 ซึ่งมีผลกำไรอยู่ที่ 964 ล้านเหรียญสหรัฐ จำนวนที่นั่งภายในเครื่องบินในช่วงปีงบประมาณ 2553-54 อยู่ที่ร้อยละ 80.0 นับเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในประวัติการณ์ และ เนื่องด้วยการเพิ่มขึ้นของความจุภายในเครื่องบินซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 อยู่แล้ว สัดส่วนจำนวนที่นั่งที่เพิ่มขึ้นมากขนาดนี้ ถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ โดยรวมแล้ว จำนวนที่นั่งภายในเครื่องบิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.9 หรือ 32,057 ตัน-กิโลเมตร มูลค่าการจัดการของสายการบิน อยู่ที่ 13.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.7 จาก ผลประกอบการประจำปี 2553-2554 ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนี้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และ ปริมาณกิจกรรมการปฏิบัติงานที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงจำนวนบุคลากรที่มากขึ้น และ ค่าการจัดการต่างๆ อาทิเช่น การจัดการต่างๆ ค่าใช้จ่ายระหว่างการบินและการบำรุงรักษาเครื่อง ค่าน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นร้อยละ 41.2 หรือ 4.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงปี 2553-2554 เป็นสาเหตุของ ของค่าการจัดการของสายการบินร้อยละ 34.4 ใกล้เคียงกับตัวเลขที่สูงมากของปี 2551-2552 ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลกระทบโดยตรงของราคาเฉลี่ยของน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นร้อยละ 26.5 ต่อ แกลลอน (สหรัฐ) และ ปริมาณน้ำมันที่เพิ่มขึ้นตามขนาดของตัวเครื่องบิน จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 คือ 28.3 โดยดูจากปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (Revenue Passenger Kilometre) เพิ่มขึ้นจาก 26.1 หรือ 7 เซ็นต์สหรัฐในปี 2552-2553 ในปีที่ผ่านมา สายการบินได้เพิ่มการสั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส A380 จำนวน 32 ลำ เครื่องบินโบอิ้ง 777 300ER จำนวน 30 ลำ ทำให้จำนวนเครื่องบินทั้งหมดที่สายการบินเอมิเรตส์สั่งซื้อและรอการส่งมอบคิดเป็นมูลค่ารวม 13.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ และในช่วงสิ้นสุดปีงบประมาณ สายการบินเอมิเรตส์มียอดสั่งจองเครื่องบิน เป็นจำนวนทั้งสิ้น 193 ลำ รวมมูลค่าทั้งหมดประมาณ 66 พันล้านเหรียญสหรัฐ สายการบินเอมิเรตส์ ได้รับการส่งมอบเครื่องบินโบอิ้ง 777-300ER จำนวน 1 ลำ และเครื่องบินแอร์บัส A380 จำนวน 7 ลำ ทำให้ปัจจุบันสายการบินมีเครื่องบินจำนวนทั้งสิ้นแล้วกว่า 148 ลำ และยังคงเป็นสายการบินที่ให้บริการเครื่องแอร์บัส A380 จำนวน 15 ลำและเครื่องบินโบอิ้ง 777s อีก 86 ลำซึ่งนับว่ามากที่สุดในโลก ในการขยายเครือข่ายไปสู่นานาประเทศทั่วโลก สายการบินเอมิเรตส์เปิดเส้นทางการบินใหม่ถึง 6 เส้นทาง ได้แก่ อัมสเตอร์ดัม, ปราก, อัล เมดิน่า อัล มูนาวาร่า, มาดริด, ดาการ์และบาสรา รวมไปถึงการเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน และ จำนวนที่นั่งในเส้นทางเดิม เพื่อรองรับความต้องการของผู้โดยสารโดยเฉพาะชาวอเมริกัน เอเซีย ตะวันออกกลางและแอฟริกา สายการบินเอมิเรตส์ ยังคงสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่อง ด้วยฐานกำไรที่หลากหลาย โดยไม่มีแถบประเทศใดที่สร้างรายได้ให้แก่สายการบินมากกว่าร้อยละ 30 ของรายได้ทั้งหมด ประเทศในแถบเอเชียตะวันออก และ ออสเตรเลเชีย เป็นกลุ่มประเทศที่สร้างรายได้อันดับต้นในปีงบประมาณ 2553-2554 ด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30.9 หรือ 1.0 พันล้าน เหรียญสหรัฐ โดยที่ยุโรปเป็นอันดับต่อมาด้วยรายได้ที่สูงขึ้นร้อยละ 24.3 หรือ 769 ล้าน เหรียญสหรัฐ ซึ่งเหตุผลหลักคือ 3 เส้นทางใหม่ที่เปิดให้บริการ ในทวีป และ จำนวนผู้โดยสารเพิ่มเติมที่เครื่องบินขนาดใหญ่ขึ้นสามารถรับรองได้ เส้นทางการบินของเครื่องบินแอร์บัส A380 สายการบินเอมิเรตส์ได้เพิ่มไปอีก 3 เส้นทาง ได้แก่ ปักกิ่ง ฮ่องกงและแมนเชสเตอร์ รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการนำเครื่องบินแอร์บัส A380 บินไปยังมหานครนิวยอร์คด้วย เอมิเรตส์ยังคงลงทุนต่อเนื่องในการเปิดให้บริการห้องรับรองผู้โดยสารใหม่ที่สนามบินนานาชาติเซี่ยงไฮ้และนิว เดลี ทำให้จำนวนของห้องรับรองผู้โดยสารประจำสายการบินเอมิเรตส์เพิ่มขึ้นเป็น 28 แห่งทั่วโลกโดยสายการบินเอมิเรตส์ได้ใช้เงินลงทุนมากกว่า 78 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อการพัฒนาการให้บริการห้องรับรองผู้โดยสารที่มีอยู่ทั่วโลก อัตราการจ้างงานของสายการบินเอมิเรตส์ในปีงบประมาณ 2553-2554 ได้เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 5.9 ทำให้สายการบินมีจำนวนพนักงานมากถึง 39,000 คน ซึ่งเป็นจำนวนพนักงานที่น่าประทับใจ สำหรับสายการบินที่เพิ่งจะฉลองครบรอบ 25 ปีไปเมื่อปีที่ผ่านมา พนักงานเข้าใหม่ของสายการบินส่วนมากเป็น พนักงานต้อนรับ และ พนักงานภาคพื้นดิน ที่เข้ามาปฏิบัติการบนเครื่องบินลำใหม่ที่ถูกทยอยส่งมอบตลอดปี ทั้งหมด 8 ลำ รวมไปถึงเตรียมตัวสำหรับการส่งมอบอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2554-2555 ด้วยเช่นกัน เอมิเรตส์ สกายคาร์โก้ มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.6 หรือมากกว่า 2.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นผลสืบเนื่องมาจากการฟื้นตัวของธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศทั่วโลก ปริมาณการขนส่งสินค้าได้ปรับตัวสูงขึ้นถึงร้อยละ 11.8 ซึ่งมากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 1,767 ล้านตัน รวมถึงปริมาณการขนส่งสินค้าโดยวัดจากค่าระวางตัน-กิโลเมตรที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 11.3 ภาคการขนส่งทางอากาศสร้างรายได้คิดเป็นร้อยละ 17.4 ของรายได้ของการขนส่งโดยรวมของสายการบินเอมิเรตส์ ในระหว่างปีนั้นเอง เอมิเรตส์ สกายคาร์โก้ได้เปิดเส้นทางการขนส่งใหม่ไปยัง อัลมาตี บาแกรม และเออร์บิล ในช่วงสิ้นสุดปีงบประมาณ เอมิเรตส์มีเครื่องบินขนส่งสินค้าทั้งหมด 7 ลำ โดย 3 ลำเป็นการเช่าอากาศยานพร้อมผู้ประจำหน้าที่(wet lease) และอีก 4 ลำเป็นแบบสัญญาเช่าดำเนินงาน (operating lease) หน่วยงานการบริการเพื่อการท่องเที่ยวและพักผ่อน ของสายการบินเอมิเรตส์ มีมูลค่ารวมของแพ็คเกจท่องเที่ยวที่จำหน่ายในช่วงดังกล่าวจำนวน 299.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 10 อีกครั้งกับเหตุการณ์สำคัญครั้งยิ่งใหญ่เมื่อกลุ่ม โวลแกน แวลเลย์ (Wolgan Valley) รีสอร์ทและสปาแนวอนุรักษ์ธรรมชาติแห่งใหม่ใน บลู เมาน์เท่น ประเทศออสเตรเลีย ของเอมิเรตส์โฮเต็ลแอนด์รีสอร์ท ได้รับรางวัลระดับโลก ในประเภทของโรงแรมชั้นนำที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในช่วงปีงบประมาณ 2553-2554 ดนาต้ามีการขยายการจัดการภาคพื้นดินไปยังนานาประเทศอย่างต่อเนื่อง จนกลายผู้ให้บริการทางอากาศที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก การขยายกิจการไปยังนานาประเทศนี้เอง ที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ช่วยให้ ผลประกอบการของดนาต้า ทำยอดได้เกิน 4 พันล้านสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์โดยเพิ่งสูงขึ้นถึง 4.4 พันล้านสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 39.4 จากปีก่อน ผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็นผลมาจากรายได้ที่สูงขึ้นจากการบริหารจัดการสนามบิน และ ธุรกิจการขนส่งสินค้า นอกจาก การซื้อ บริษัทในเครืออัลฟ่า ไฟลท์ ในเดือนธันวาคม 2553 ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่สูงที่สุดในประวัติการณ์ ในช่วงปีงบประมาณ 2553-2554 ธุรกิจที่สร้างรายได้เป็นอันดับ 3 ของดนาต้า คือ การให้บริการด้านอาหาร ซึ่งก้าวกระโดดขึ้นมาถึงร้อยละ 438.3 เท่ากับ 156.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นผลลัพธ์จากการเป็นเจ้าของกิจการอัลฟ่านั่นเอง ถึงแม้ว่าธุรกิจนี้เพิ่งจะเข้ามีบทบาทเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2553 แต่อัลฟ่าได้ให้บริการด้านการจัดอาหารสำหรับบนเครื่องบินแล้วเป็นจำนวนถึง 8.4 ล้านชุด จากสนามบิน 61 แห่งใน 11 ประเทศทั่วโลก สำหรับปีงบประมาณ 2554-2555 นั้น อัลฟ่าจะได้เข้ามามีบทบาทอย่างเต็มตัว และรายได้ของดนาต้าถูกประเมินเป็นสองเท่าของตัวเลขในปีงบประมาณ 2553-2554 ที่ผ่านมา เป็น 1.6 พันล้าน เหรียญสหรัฐ ถึงแม้ว่าการซื้อบริษัท เพลน แฮนด์ลิ่ง และ อัลฟ่า จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจทั้งปี แต่ดนาต้าก็สามารถสร้างผลกำไรเป็นมูลค่าสูงถึงอันดับที่ 2 ในประวัติการณ์ของการประกอบกิจการ ถึง 152.6 ล้าน เหรียญสหรัฐ ส่วนค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานสำหรับปี 2553-2554 นั้นอยู่ที่ 1.1 พันล้าน เหรียญสหรัฐ จำนวนเครื่องบินที่ดนาต้าดูแลจัดการในช่วงปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 21.1 เป็น 232,585 ลำ โดยที่สัดส่วนขนาดใหญ่ของการเติบโตครั้งนี้มาจากต่างประเทศ ปริมาณสินค้าขนส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.3 เป็น 1,494 พันตัน สำหรับดนาต้า การขยายกิจการ และสร้างรากฐานในประเทศสำคัญรอบโลก และ การสร้างการรับรู้ในตราสินค้าเป็นหัวใจหลักในการบริหารกิจการในปีที่ผ่านมา การซื้อบริษัทอัลฟ่านับเป็นการลงทุนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา ณ ปัจจุบัน ดนาต้ามีเครือข่ายอยู่ใน 94 เมือง 37 ประเทศ 5 ทวีป ความเป็นผู้นำทางด้านนวัตกรรม และ ความมุ่งมั่นในการสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า แสดงให้เห็นเมื่อ การบริการด้านการท่องเที่ยวของดนาต้า ได้นำเอาแอพพลิเคชั่นส์ของไอแพดเข้ามาใช้ในช่วงปีที่ผ่านมา การบริการที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อดนาต้าโดยเฉพาะ ช่วยอำนวยความสะดวกสบาย และ รวดเร็ว ให้แก่ลูกค้า ในการวางแผนการเดินทาง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เพื่อการเพิ่มผลผลิต และ ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ดนาต้าทำการติดตั้งระบบ ติดตาม และ ดูแลสินค้า อันทันสมัย ที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ และ ระยะเวลาที่ต้องใช้ ในการบริการภาคพื้น ที่สนามบิน นานาชาติ ดูไบ การบริการภาคพื้น ดนาต้า ได้เป็น ผู้ให้บริการจัดการสนามบินแห่งแรก ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ที่ได้รับการยกย่อง โดย ไอเอสเอจีโอ หรือ บริษัทตรวจสอบความปลอดภัยในการปฏิบัติการภาคพื้นดิน ในด้านประสิทธิภาพการบริหารงานภาคพื้นดิน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง คุณภาพ และ ความปลอดภัยที่เหนือชั้น การบริหารจัดการของดนาต้าในประเทศปากีสถาน ก็ได้รับการรับรองนี้เช่นเดียวกัน จำนวนพนักงานโดยเฉลี่ย ของดนาต้า เติบโตขึ้นอย่างมาก ถึงร้อยละ 35.1 โดย 18,000 ราย ประจำการในบริษัทใหม่ อัลฟ่า ส่วนร้อยละ 46.9 ของจำนวนพนักงานของดนาต้าทั้งหมด ประจำอยู่นอกเมืองดูไบ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2554 บริษัทในเครือเอมิเรตส์และบริษัทย่อยมีบุคลากรทั้งหมดจำนวน 57,000 คนจาก 163 สัญชาติทั่วโลก สามารถดูรายงานฉบับสมบูรณ์ของปีงบประมาณ 2553-54 ของบริษัทในเครือเอมิเรตส์ ซึ่งประกอบไปด้วยรายงานของสายการบินเอมิเรตส์ ดนาต้า และบริษัทย่อยต่าง ๆ ได้ที่ www.theemiratesgroup.com/annualresults สื่อมวลชน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ชนิดาภา ปัญญาพลเสรี/ อชิรญาณ์ หวังเกียรติ สปาร์ค คอมมิวนิเคชั่นส์ โทรศัพท์: 0-2653-2717-9 โทรสาร 0-2653-2720 อีเมล์: june@spark.co.th / icing@spark.co.th เว็บไซต์: www.emirates.com/th
แท็ก สหรัฐ  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ