กรุงเทพฯ--7 มิ.ย.--MMM Digital
หลังจากได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล British Comedy Awards สำหรับบทบาทของเขาในซีรี่ส์ที่ได้รับการชมเชย ผลงานของพอล แอ็บบอตต์ เรื่อง SHAMELESS ของทาง Channel 4 ที่อังกฤษไปแล้ว นักแสดงชาวสก็อตต์อย่าง เจมส์ แม็คอวอย เริ่มประสบความสำเร็จในโลกมายาอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีการยืนยันในปี 2005 เมื่อนักแสดงหนุ่มรับบทเป็นฟอนที่มีชื่อว่า มิสเตอร์ทัมนัส ในภาพยนตร์ที่เป็นการดัดแปลงสู่จอยักษ์ของแอนดรูว์ อดัมสัน เรื่อง THE CHRONICLES OF NARNIA: THE LION, THE WITCH AND THE WARDROBE
ปี 2006 นักแสดงหนุ่มร่วมกับฟอเรสต์ ไวเทคเกอร์ ด้วยการนำเข้าชิงรางวัล Oscar และ BAFTA ในภายพนตร์เรื่อง THE LAST KING OF SCOTLAND โดยการรับบทแสดงเป็นจิตแพทย์ส่วนตัวของผู้เผด็จการชาวอูกันดา Idi Ami ตั้งแต่ปีนั้นมาแม็คอวอยได้รับการยอมรับในผลงานที่น่าตื่นเต้นอย่างภาพยนตร์เรื่อง STARTER FOR 10, BECOMING JANE และ ATONEMENT
ปี 2008 แม็คอวอยรับบทนำในภาพยนตร์ของทิมัวร์ เบ็คแมมบีทอฟ ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนของมาร์ค มิลลาร์ เรื่อง WANTED นำแสดงโดย แองเจลีน่า โจลี่ และ มอร์แกน ฟรีแมน ซึ่งรับบทเป็นสมาชิกใหม่ของสมาคมนักฆ่า
ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เป็นการหวนคืนสู่วงการภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ของนักแสดงหนุ่ม และคัดเลือกตัวแม็คอวอยให้รับบทเป็น โพรเฟสเซอร์ ชาร์ลส์ ซาเวียร์ ผู้นำดี-แฟ็คโตของ X-Men ซึ่งเป็นบทบาทที่ถือกำเนิดโดย แพทริค สจ๊วต ในภาพยนตร์เรื่อง X-MEN, X2 และ X-MEN: THE LAST STAND
คุณเพลิดเพลินกับความยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์เรื่องนี้มั้ย?
สนุกดี มันเหมือนภาพยนตร์เรื่องใหญ่ทุกเรื่อง มันเป็นจุดกำเนิดของความสับสนวุ่นวาย แต่ก็ดี มันเป็นจุดกำเนิดเรื่องวุ่นๆ ที่สนุกสนาน ผมว่าภาพยนตร์เรื่อง NARNIA น่าจะเป็นภาพยนตร์เรื่องใหญ่ที่สุดที่ผมเคยแสดงมาแล้ว มันมีขนาดความยิ่งใหญ่ที่น่าขำมาก แต่ครั้งนี้มันยิ่งใหญ่กว่านั้น
แต่ผมคิดว่าผมมีเวลา 30 วันในการแสดงเรื่อง NARNIA และผมอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 5 เดือนครึ่ง มันเลยแทบคลั่ง ตอนนี้ไมเคิล แฟสเบ็นเดอร์กับผมกำลังรับบทแสดงนำ ซึ่งค่อนข้างสนุก ค่อนข้างดีเหมือนกันที่ได้เป็นตัวนำการแตกแยก มันสนุกที่มีเรา 2 คนรับบทที่ไม่ค่อยเหมือนเซอร์ แพทริค กับ เซอร์ เอียน สองคู่ผู้อาวุโส
คุณเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ STAR TREK คุณจะตั้งสติกับการแสดงตัวละครที่สร้างชื่อเสียงไว้โดยแพทริค สจ๊วต ในภาพยนตร์เรื่อง X-MEN สามภาคแรกอย่างไรบ้าง?
ผมเข้าใจดี! เราต้องหยุดความประทับใจในตัวแพทริค สจ๊วต เอาไว้แล้ว [หัวเราะ] แต่มันค่อนข้างตื่นเต้นดีนะ ในจุดหนึ่งของการฝึกซ้อมช่วงแรกๆ แมทธิวคุยกับไมเคิลและผมถึงเรื่องการทำเสียงเลียนแบบบางอย่าง เราก็ทำอยู่ประมาณ 2 นาที และเขาก็อึ้งทันที
มันถือเป็นความแตกต่างเพราะเราได้เห็นจุดเริ่มต้นของพวกเขา และความสนุกสนานของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการได้เห็นความแตกต่างทั้งหลาย มันแทบไม่มีประเด็นของการทำหนังเลย หากตัวละครนำ 2 ตัวของเรื่อง ซึ่งเป็นตัวละครที่หวนกลับมาจากภาพยนตร์เรื่องอื่นมาแสดงเหมือนเดิมอย่างที่เคยแสดง
ตัวละครชาร์ลส์ ซาเวียร์ ของคุณมีพัฒนาการน้อยกว่าการกลับมาของแพทริค สจ๊วต หรือเปล่า?
ใช่ ในภาพยนตร์สามภาคแรกชาร์ลส์ ซาเวียร์ เป็นเหมือนผู้ทรงศีล เขาไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่มีการถือตัวและแทบไม่รังเกียจเพศใด ในการปรับปรุงความเป็นมนุษย์และมนุษย์กลายพันธุ์ให้ดีขึ้น ต้องบอกว่า “เอาล่ะ เขาจะดูแตกต่างออกไปจากเดิม” มันค่อนข้างสนุกดี เพราะการตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงคือการถือตัว มีการแยกแยะระหว่างเพศ เป็นคนที่มั่นใจเกินตัว เราไม่ได้หมกมุ่นกับมันจนเกินไป แต่เราต้องสร้างมันขึ้นมาค่อนข้างเยอะ และเห็นได้ชัดว่าเขามีอีโก้และมีแรงผลักดัน และเขาเป็นคนที่น่ารำคาญตอนนี้! เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่
คุณคิดว่าพลังของเขาทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนเทพเจ้าหรือเปล่า?
ผมคิดแบบนั้นแน่นอน นั่นเป็นสิ่งที่หวังว่าเราจะมีความสนุกสนานกับภาพยนตร์ภาคต่อ บนเส้นทางของการกลายเป็นแพทริค สจ๊วต ผู้ที่เป็นที่สุด!
คุณรู้จักหนังสือการ์ตูนเรื่อง X-MEN ขนาดไหนก่อนมาเริ่มแสดง?
บอกตามตรงเลยว่าผมไม่รู้จัก เพราะช่วงที่ผมโตขึ้นมาเราไม่มีหนังสือการ์ตูนเลย มันเป็นเพียงชีวิตช่วงเล็กๆ ของผมที่เราไม่มีหนังสือการ์ตูนหรือเปล่า แต่ไม่มีเพื่อนร่วมชั้นของผมคนไหนที่มีหรือติดหนังสือการ์ตูน และผมไม่คิดจะไขว่คว้าหรืออะไรเลย แต่ผมเป็นแฟนตัวยงของการ์ตูนมาตั้งแต่อายุประมาณ 10 ปีขึ้นไป ซึ่งมันฉายตอนเช้าวันเสาร์ทางช่อง Going Live และนั่นคือเรื่องราวทั้งหมด มันน่าขำดี ตัวละครโปรดของผมคือแกมบิต มันเลยเป็นเรื่องค่อนข้างดีที่ได้มีส่วนร่วมกับภาพยนตร์เรื่อง X-MEN ด้วยเหตุผลทั้งหมด และแน่นอนว่าผมเป็นแฟนคนหนึ่งของภาพยนตร์ภาคแรกทั้งหมดด้วย
มีการพูดกันว่าเส้นขนานที่เดินไประหว่างชาร์ลส์กับเอริคมีความแตกต่างอย่างใกล้เคียงกับมาร์ติน ลูเธอร์ คิง และ มัลคอล์ม เอ็กซ์ คุณเห็นสิ่งนั้นในภาพยนตร์หรือเปล่า?
ผมคิดแบบนั้นนะ ผมว่าแรงผลักดันบางอย่างระหว่างทั้งสองคนนั้น ในหนังสือการ์ตูนเอริคเข้ามาและก็จากไป เขากลับไปกลับมาระหว่างสิ่งที่เขากำลังจะลุล่วงสำเร็จและวิธีที่เขาจะลุล่วงสำเร็จได้ ในหนังเรื่องนี้เราจะได้พบเขาในช่วงแรกที่พวกเขายังอยู่ในช่วงการพัฒนา และพวกเขายังค้นหาอยู่ว่าพวกเขาเป็นใคร เราจะได้เห็นเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้พวกเขาเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ไม่ใช่แค่ชีวิตในช่วงแรก แต่เหตุการณ์สำคัญบางอย่างในความขัดแย้งเพื่อสิทธิความทัดเทียมกันของพวกเขาที่ช่วยทำให้เขาเป็นรูปร่างขึ้นได้ นั่นเป็นสิ่งที่ไมเคิลกับผมได้พูดคุยกันมากมายในเรื่องแรงผลักดันนั้น
เราหมกมุ่นกับมันมากเนไปไม่ได้ เพราะจะไม่มีทางใดที่คุณอยากตั้งโจทย์เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิส่วนบุคคล แต่อันที่จริงมันเปลี่ยนแปลงได้มากมาย เราต้องลองมองว่าโลกส่วนที่เหลือมีปฏิกิริยาต่อมันอย่างไร และมันแสดงถึงโลกส่วนที่เหลือมีปฏิกิริยาต่อการดิ้นรนของมนุษย์กลายพันธุ์ในหนังภาคนี้อย่างไร
มีความคลุมเครือระหว่างความดีและความชั่วในภาคนี้มากขึ้นมั้ย?
ใช่ แน่นอนเลยว่าเอริคไม่ใช่พลังแห่งความชั่วร้าย สิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ดี เราเถียงได้ว่าการฆ่าคนไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่เขาฆ่าคนที่ชั่วร้าย ซึ่งเป็นคนที่สร้างเรื่องสับสนวุ่นวายให้แก่เขา ถึงอย่างไรเขาเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจมากว่าแน่นอน ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งชั่วร้ายหรือสิ่งดีก็ตาม
ครั้งแรกเราเห็นเขาเป็นผู้ใหญ่ที่ไล่ล่าเหล่านาซีและทั้งหมดนั้น เรารู้ว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น แม้เราจะเป็นผู้รักสันติภาพและไม่เลื่อมใสในการสังหาร เราสามารถรับรู้และเข้าใจสิ่งที่เขาผ่านพ้นมาได้ สิ่งที่พาเขามาอยู่ในหนังเรื่องนี้เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนล้วนหวาดกลัว เพราะเขามีการกระทำที่ค่อนข้างรุนแรง
ผมว่าโพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ รับรู้ได้ว่าเขาเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี เชื่อว่าเขาสามารถช่วยเหลือได้ เขาสามารถปรับเปลี่ยนและวางแผนให้ห่างจากด้านมืดได้ และจัดการกับอีโก้ภายในตัวชาร์ลส์ เขาอยากเป็นผู้นำและอยากควบคุมมนุษย์เหล่านั้น เขาอยากสร้างครอบครัวและเป็นผู้นำ เขาคิดว่าเขาควบคุมทุกคนได้ เขามีอภิมหาพลังที่น่าประหลาด แต่โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นแค่การเอาใจใส่มากขึ้น ผมคิดว่าเขาเชื่อว่าเขาสามารถเข้าใจและควบคุมทุกคนได้ ซึ่งผิดมหันต์และพิสูจน์ถึงความหายนะของเขากับเอริค
ภาพยนตร์เป็นฉากของในปี 1962 เราได้นำเสนอประเด็นด้านการเมืองและเหตุการณ์ในยุค 60 มากเพียงใด?
มันเป็นความยิ่งใหญ่ สงครามเย็นเป็นส่วนสำคัญของในยุคนั้น และการปรับประวัติศาสตร์ให้เหมาะสมก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างดี เราผูกตัวเองเข้ากับประวัติศาสตร์อย่างใกล้ชิดด้วยวิธีที่ค่อนข้างชัดเจน จากนั้นเราก็สร้างความวุ่นวายให้กับประวัติศาสตร์หลายอย่างและเขียนมันขึ้นมาใหม่นิดหน่อย เราไม่ได้เปลี่ยนบทสรุปของเหตุการณ์ชาวโลกแต่อย่างใด แต่การอธิบายและกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ของโลกที่เรากล่าวถึงได้เข้าจัดการกับเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่สนุกดี