กรุงเทพฯ--7 มิ.ย.--MMM Digital
ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) ผู้กำกับแมทธิว วอนก์ ปรากฏตัวอย่างโดดเด่นในฐานะผู้อำนวยการสร้างเป็นครั้งแรก ร่วมงานกับผู้กำกับกาย ริตชี่ ในภาพยนตร์แนวแกงค์อันธพาลที่ได้รับคำชมจากเหล่านักวิจารณ์เรื่อง LOCK, STOCK AND TWO SMOKING BARRELS และ SNATCH
เขากำกับภาพยนตร์เป็นครั้งแรกปี 2004 ในเรื่อง LAYER CAKE ซึ่งเป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญอาชญากรรม นำแสดงโดย แดเนียล เคร็ก เขาปฏิเสธในการเดินทางซ้ำรอย ตามมาด้วยภาพยนตร์โรแมนติกแฟนตาซีผจญภัย เรื่อง STARDUST และภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่แนวคอมเมดี้ปีที่แล้วที่ได้รับการตอบรับอย่างดี เรื่อง _KICK-ASS นำแสดงโดย แอรอน จอห์นสัน และ นิโคลาส เคจ
ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เป็นการเดินทางสู่ฮอลลีวูดอย่างรวดเร็วเป็นครั้งแรกของผู้กำกับ แม้ว่าเดือนพฤศจิกายน 2010 ในฉากของภาพยนตร์ที่ Pinewood Studios ของประเทศลอนดอน ดูเหมือนวอนก์จะรักษาทีมงานที่ร่วมงานกันเป็นประจำเอาไว้ เขานั่งลงเพื่อพูดคุยถึงมุมมองโปรเจ็กต์ของเขา
จุดเริ่มต้นของโปรเจ็กต์นี้เกิดขึ้นมาจากไหน?
มันมีบทภาพยนตร์อยู่แล้ว แต่เราไม่พอใจกับมันเท่าไหร่ เราจึงเขียนมันขึ้นมาใหม่และใส่ลงไปในเรื่องและโครงเรื่องที่วางเอาไว้ ผมอยากทำเวอร์ชั่น JAMES BOND ปะทะ X-MEN เป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญแนวคลาสสิคเกี่ยวกับการเมืองในยุค 60
คุณทำให้นึกถึงการเมืองในยุคนั้นหรือเปล่า?
ใช่ ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับวิกฤติขีปณาวุธคิวบา มันเริ่มต้นเมื่อปี 1962 และก่อให้เป็นรูปเป็นร่างของฉากเบื้องหลังทั้งหมด
ผมจำได้ว่าดูหนังเรื่อง THIRTEEN DAYS ที่ผมคิดว่าเป็นหนังที่ยอดเยี่ยม และตอนที่ผมพบเรื่องวิกฤติขีปณาวุธคิวบาที่มาประยุกต์เข้าในเรื่อง X-MEN ผมรักความคิดของการหยิบความเชื่อนั้นและการมีมนุษย์กลายพันธุ์ที่พยายามก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้นมา เพราะสิ่งที่เรากำลังพูดถึงคือรังสีที่ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์
มันเป็นโครงเรื่องของ BOND ที่มีความคลาสสิค เซบาสเตียน ชอว์ (เควิน เบคอน) แสดงเป็นคนร้ายชาวรัสเซียที่ปะทะกับชาวอเมริกัน แต่เรากำลังเล่นกับเรื่องวิกฤติขีปณาวุธคิวบา นั่นเป็นหนังที่ผมรักตอนเป็นเด็กๆ ฉะนัน้ทำไมถึงไม่ลองดูอีกสักครั้ง?
นี่เป็นหนังเรื่องแรกของคุณที่เป็นหนังใหญ่ระดับฮอลลีวูด คุณพบการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาได้อย่างไร?
การสร้างหนังก็คือการสร้างหนัง จริงๆ แล้วผมคิดว่าการสร้างหนังด้วยงบ 2 ล้านเหรียญยากกว่าการสร้างด้วยทุน 200 ล้านเหรียญ จุดนี้เรามีผู้คนมากมายมาช่วยทำให้มันลุล่วงไปได้ ตอนที่เราทำเรื่อง KICK-ASS ไม่มีใครอยู่รอบข้างเพื่อคอยพยุงเราและเราไม่มีงบด้วย ผมว่านั่นมันยากยิ่งกว่าแน่นอน
ดูเหมือนคุณรักษาทีมงานไว้ได้อย่างดี
ผมรักษาพวกเขาเอาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หลายคนที่ผมต้องการตัวกลับไม่ว่าง ปัญหาคือหลังจากทำเรื่อง KICK-ASS ทุกคนโทรมาหาผมและพูดว่า “ผมอยากทำหนังเรื่องอื่นบ้าง จะได้มั้ย?” ผมตอบว่า “ได้สิ ได้ ผมยังไม่มีเรื่องไหนเข้ามาเร็วๆ นี้” ผมไปงานแสดงรอบปฐมทัศน์ของ KICK-ASS หลังจากนั้นไม่นานก็ได้รับโทรศัพท์จาก Fox ว่าอยากพบตัวผม จากนั้นเขาก็เสนองานนี้ให้ ทีมงานของผมครึ่งหนึ่งจากไปทำหนังเรื่องอื่นแล้ว ผมวางแผนหยุดทั้งช่วงซัมเมอร์! ผมไม่มีวันหยุดมา 2 ปีแล้ว! แค่มุมมองของหนังก็ทำให้ผมแทบบ้า มีเวลาเหลือน้อย แต่เวลาเดียวกันผมก็ชอบการท้าทายความสามารถนะ!
สิ่งที่เป็นแรงดลใจในการคัดเลือกตัวนักแสดงอย่างเจมส์ แม็คอวอย และ ไมเคิล แฟสเบ็นเดอร์ เป็นตัวแสดงนำทั้ง 2 นั้นคืออะไร?
ทั้งคู่เป็นนักแสดงที่มีฝีมือ สำหรับผมแล้วเจมส์มีความเป็นโพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ อย่างเห็นได้ชัด เขาเป็นเพียงคนเดียวในรายชื่อที่ผมต้องการ สำหรับบทแม็กนีโต มีอยู่ 2-3 คนที่ผมนึกถึง สตูดิโออยากให้เขาดูหนุ่มกว่า แต่ผมเป็นแฟนตัวยงของผลงานแฟสเบ็นเดอร์มาโดยตลอด ผมบอกว่า “ดูสิว่าผมจะเอาไมเคิลมาเทสต์หน้ากล้องหน้าได้มั้ย?” พวกเขาไม่มั่นใจเท่าไหร่ และคิดว่าเขาแก่เกินไปหน่อยสำหรับบทบาท แต่เขาเดินเข้ามาและหลังจากนั้น 2 นาทีมันรู้สึกเหมือน “ว้าว”
คุณคัดเลือกนักแสดง 2 คนที่มารับบทบาทนั้นอย่างจริงจังมาก
พวกเขารับบทมาจากเอียน แม็คเคลเลน และ แพทริค สจ๊วต! สิ่งที่ไบรอัน ซิงเกอร์ ต้องทำคือการวางนักแสดงที่น่าทึ่งในภาพยนตร์เรื่อง X-MEN ภาคแรก การคัดเลือกนักแสดงเป็นสิ่งที่สุดยอดมาก และผมคิดว่าผมต้องเจริญรอยตามนั้น
น่าประหลาดที่โพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ เป็นบทที่ยากกว่าในการคัดเลือกนักแสดง เพราะสุดท้ายเขาต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น คอยจับขมับและสนทนาในท่าทางที่สุขุมและดูน่าเบื่อ ผมอยากได้ตัวนักแสดงที่สนุกไปกบัมันได้ เพราะตอนนี้เขากำลังวิ่งไปรอบๆ เขามีขาและกำลังเรียนรู้ ผมรักไอเดียของการมีนักแสดงที่สามารถแสดงได้ หากเราทำภาคต่อจากนี้ตอนที่เขาอยู่บนเก้าอี้รถเข็นก็ยังแสดงให้มันดูน่าสนใจได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมแพทริค สจ๊วต ถึงเป็นสุดยอด เขานั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นแต่เรายังอินไปกับเรื่องได้
ผมคิดว่าแม็คเคลเล็นเหมือนกับผู้อาวุโสที่ปราดเปรื่อง เขาเป็นคนเก่งและเขาสามารถอ่านสมุดหน้าเหลืองได้และเราต้องพูดว่า “ว้าว” แม็กนีโตเป็นบทมีรสชาติ ผมเลยต้องการนักแสดงที่สามารถแสดงสิ่งที่เอียนเคยแสดงได้ แต่จุดนี้มีอะไรที่มากกว่า มันยากมาก หากเราเป็นนักแสดงที่ทำให้บทบาทของเราประสบความสำเร็จท่ามกลางหลายสิ่งหลายอย่างที่วางไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว เราไม่อยากดูเหมือนว่าพวกเขากำลังแสดงเลียนแบบหรือแกล้งแสดง
การท้าทายความสามารถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการดึงมาใส่รวมกันคืออะไร?
เป็นความต่อเนื่องของการที่เราต้องถ่ายทำที่จอร์เจียในเวลา 2 อาทิตย์ นั่นเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก ฉากสุดท้ายของภาพยนตร์เป็นฉากที่อลังการหนึ่งฉากทีเดียว แต่มีระดับที่แตกต่างกันไป มันมีความยิ่งใหญ่แต่ถูกจำกัดเอาไว้ ผมคิดว่าหากเราสร้างให้ใหญ่เกินไป ผู้ชมจะรับกับมันไม่ไหว พวกเขาจินตนาการไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันเป็นพื้นที่การแสดงเล็กๆ ที่มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น
คุณรับมือกับเหล่านักแสดงทั้งหมดอย่างไร?
หนังทุกเรื่องผมร่วมงานกับนักแสดงจำนวนมาก เมื่อเราคิดถึงเรื่องนั้นในฐานะของผู้อำนวยการสร้างของเรื่อง LOCK, STOCK AND TWO SMOKING BARRELS และ SNATCH จนเป็นผู้กำกับเรื่อง LAYER CAKE, STARDUST และ KICK-ASS พวกนั้นมีโครงเรื่องที่ซับซ้อนและมีตัวละครมากมาย
เทคนิคคือการรักษาสมดุลให้เหมาะสม และทำให้มั่นใจว่าทุกอย่างน่าสนใจ ทุกคนสร้างความสมบูรณ์แบบให้กันและกันแทนที่จะแย่งบทกัน และมาอยู่ร่วมกันในขั้นลำดับภาพตามปกติ การท้าทายความสามารถอันยิ่งใหญ่ของเรื่องนี้คือการที่ผมมีช่วงเวลาเพียงสั้นๆ เพื่อลำดับภาพของหนัง ผมหวังว่าจะมีจังหวะที่เหมาะสมและรักษษสมดุลระหว่างความแตกต่างของตัวละครเอาไว้ได้ แต่อย่างไรมันก็ได้ผล
สิ่งที่จะทำให้หนังเรื่องนี้มีความโดดเด่นคืออะไร?
สิ่งที่ผมพูดได้คือสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ ไม่มีใครเคยทำกับหนังซูเปอร์ฮีโร่มาก่อน และมันอาจเป็นหายนะได้เพราะมันมีความแตกต่าง อย่างที่ผมเคยพูดไว้ว่ามันคือหนังเรื่อง _BOND ที่เป็นเรื่องระทึกขวัญเกี่ยวกับการเมือง แต่เป็นหนัง X-MEN ผมจะไม่หันหลังให้มัน มันไม่เหมือนหนังเรื่อง X-MEN เรื่องอื่น ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญ ผมว่าหนังซีรี่ส์ต้องการสิ่งที่ BATMAN BEGINS เคยทำหลังจากสร้างหนังเรื่อง BATMAN ทั้งหมด ผมไม่ได้พูดว่ามันต้องออกมาดีเหมือน BATMAN BEGINS แต่มันเป็นเจตนารมณ์เดียวกัน
คุณคิดว่าผู้ชมอายุน้อยๆ จะมีปฏิกิริยาต่อฉากแนวพีเรียดอย่างไร?
หวังว่าพวกเขาจะคิดว่ามันเท่ห์ ทุกอย่างดูมีเสน่ห์ในยุค 60 เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็สวยงาม ดนตรีก็เพราะ รถก็ดูเท่ห์ เราต้องการอะไรที่แตกต่างออกไป ดูอย่างที่หนังเรื่อง INCEPTION สร้างขึ้น มันเหมือนกับการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า ผมว่าผู้ชมเบื่อกับอะไรที่เรียบๆ ง่ายๆ แล้ว
คุณมีความคิดถึงเรื่องภาคต่ออยู่ในใจหรือเปล่า?
ผมมีไอเดีย 2-3 อย่าง แต่ผมไม่ชอบเย้ายวนชะตากรรม มันมีการปูทางสำหรับภาคต่อแน่นอน และท้ายที่สุดของเรื่องนี้น่าจะทำให้ผู้คนโหยหาตอนต่อไป