กรุงเทพฯ--9 มิ.ย.--กรีนพีซ
กรีนพีซเปิดเผยรายงานล่าสุด ระบุ ตุ๊กตาบาร์บี้ ของเล่นยอดฮิตทั่วโลก มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายป่า กล่องบรรจุภัณฑ์ตุ๊กตาบาร์บี้ผลิตจากไม้ที่ถูกตัดทำลายในป่าฝนเขตร้อนของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ อย่างเช่น เสือสุมาตรานักกิจกรรมกรีนพีซในชุดทักซิโด้เลียนแบบ “เคน” ตัวละครแฟนหนุ่มของบาร์บี้ ได้แขวนป้ายผ้าขนาดใหญ่ที่มีข้อความว่า “บาร์บี้ มันจบแล้ว ผมไม่ต้องการออกเดทกับสาวที่ทำลายป่าไม้” ณ หน้าสำนักงานใหญ่ของบริษัทแมทเทล (Mattel) นครลอสแอนเจลิสกิจกรรมดังกล่าวถือเป็นการเปิดตัวงานรณรงค์ของกรีนพีซทั่วโลกที่เรียกร้องให้บริษัทผลิตของเล่นหยุดทำลายป่าในอินโดนีเซียนักวิจัยของกรีนพีซใช้วิธีการสืบค้นหลักฐานเพื่อเปิดเผยว่ากล่องบรรจุภัณฑ์ของตุ๊กตาบาร์บี้นั้นมาจากป่าฝนเขตร้อนในประเทศอินโดนีเซีย โดยผนวกเข้ากับการสืบค้นภาคสนาม ข้อมูลแผนที่ และตามรอยหลักฐาน(ใบประกาศ)ของบริษัทเพื่อแสดงให้เห็นว่าแมทเทล ผู้ผลิตบาร์บี้และบริษัทของเล่นอื่นๆ อย่างเช่น ดิสนีย์ (Disney) ใช้บรรจุภัณฑ์ที่มาจากบริษัท Asia Pulp and Paper หรือ APP ที่ถูกเปิดโปงหลายครั้งว่าเป็นผู้ทำลายป่าฝนเขตร้อนในอินโดนีเซียเพื่อนำมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ต่างๆบุสตาร์ ไมทาร์ หัวหน้าฝ่ายรณรงค์ของกรีนพีซเพื่อปกป้องผืนป่าอินโดนีเซียกล่าวว่า
“บาร์บี้กำลังทำลายป่าฝนเขตร้อนและทำให้สัตว์ป่าที่มีความสำคัญ อย่างเช่นเสือ ตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ทั้งนี้เพราะบรรจุภัณฑ์ของบาร์บี้นั้น มาจากการตัดไม้ทำลายป่าในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของเสือสุมาตรา
“แมทเทลผู้ผลิตบาร์บี้จะต้องหยุดใช้บรรจุภัณฑ์ที่มาจากการทำลายป่า โดยแมทเทลต้องหยุดซื้อวัสดุที่ใช้ทำหีบห่อจาก APP ซึ่งเป็นผู้ทำลายผืนป่าขนาดใหญ่ และถูกเปิดโปงหลายครั้งว่าทำลายป่าในอินโดนีเซียเพื่อนำมาทำบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วทิ้ง
“APP คือข่าวร้ายของผืนป่าในอินโดนีเซีย APP ปฏิบัติต่ออินโดนีเซียเหมือนกับสิ่งของที่ใช้แล้วทิ้ง โดยช่วงชิงทรัพยากรป่าที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของชุมชนรอบผืนป่า แมทเทลและบริษัทผลิตของเล่นอย่างเช่น ดิสนีย์ จะต้องมีความรับผิดชอบในการสนับสนุนการพัฒนาที่สะอาดและก่อให้เกิดคาร์บอนต่ำ พวกเขาควรหันหลังให้ APP และสนับสนุนผู้ผลิตในอินโดนีเซียที่มีความรับผิดชอบ”
อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีอัตราการทำลายป่าเร็วที่สุดในโลก รัฐบาลอินโดนีเซียประเมินว่าผืนป่าในอินโดนีเซียถูกทำลายมากกว่าหนึ่งล้านเฮกเตอร์ต่อปี ถึงแม้ว่ารัฐบาลได้ประกาศให้ยุติการทำลายและการแปลงผืนป่าไว้ชั่วคราว แต่ข้อมูลได้ระบุว่านโยบายดังกล่าวไม่สามารถปกป้องผืนป่าธรรมชาติและป่าพรุเป็นพื้นที่รวมกัน 45 ล้านเฮกเตอร์ การประกาศยุติการทำลายป่านี้ล้มเหลวในการปกป้องผืนป่าปริมาณมหาศาลให้รอดพ้นจากการทำลาย และยากที่จะทำให้อินโดนีเซียบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 41 เป้าหมายนี้จะบรรลุได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลออกนโยบายใหม่ด้านการพัฒนาไปในทิศทางคาร์บอนต่ำ
“กรีนพีซเรียกร้องให้รัฐบาลอินโดนีเซียออกมาตรการที่เข้มแข็งในการปกป้องผืนป่าธรรมชาติและป่าพรุที่หลงเหลืออยู่ รวมถึงป่าที่อยู่ในแปลงสัมปทาน โดยการทบทวนสัมปทานป่าไม้ที่มีอยู่ว่าได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องภายใต้กฎหมายอินโดนีเซียหรือไม่ ปัจจุบัน ป่าไม้ ป่าพรุและสัตว์ป่าทั้งหมดในพื้นที่ต่างได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่าของบริษัทต่างๆ อย่างเช่น APP” ซูลฟามิ ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านป่าไม้ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าว
เอกสารเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่าฝนเขตร้อนของ APP และบาร์บี้สามารถดาวน์โหลดได้ที่
http://www.greenpeace.org/seasia/th/campaigns/indonesia-forests/barbie/