กรุงเทพฯ--10 มิ.ย.--Theway Comunication
“สาธิต ปิตุเตชะ” แม่ทัพส.ส.ภาคกลาง-ภาคตะวันออก และผู้สมัครส.ส.ระยอง เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ อ้อนชาวระยองสนับสนุนเป็นรัฐบาลอีกสมัยเพื่อสานต่อนโยบายนำภาคตะวันออกเป็นศูนย์กลางครบวงจรของ 3 ยุทธศาสตร์ “อุตสาหกรรม-เศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว” ชูโครงการฮาร์เบอร์ ซิตี้ เสริมศักยภาพการแข่งขันให้ผู้ประกอบการ เดินหน้าโครงการด้านสิ่งแวดล้อมแก้ปัญหาคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่
นายสาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ระบบแบ่งเขต จังหวัดระยอง เขต 1 ในฐานะประธานส.ส. ภาคกลาง-ภาคตะวันออก เปิดเผยว่า พรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญกับภาคตะวันออกอย่างมาก และที่ผ่านมาพยายามผลักดันโครงการต่างๆ มากมาย เพื่อสนับสนุนให้ภาคตะวันออกเป็นศูนย์กลาง (Hup) ของ 3 ยุทธศาสตร์หลักของประเทศ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ภาคอุตสาหกรรม ยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ และยุทธศาสตร์ด้านท่องเที่ยว ให้พัฒนาอย่างครบวงจรและไม่มีความขัดแย้งกัน
ทั้งนี้นโยบายต่างๆจะต้องสร้างความสมดุลให้กับ 3 ยุทธศาสตร์ โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งนโยบายด้านเมกะโปรเจ็กต์ของพรรคที่คาดว่าสามารถเดินหน้าได้ทันทีและทำได้จริง หากได้เข้ามาบริหารประเทศต่อในสมัยหน้า คือ โครงการเมืองท่าแหลมฉบัง โดยสร้างให้เป็นเมืองท่าสมบูรณ์แบบ หรือเป็นฮาร์เบอร์ ซิตี้ ซึ่งจะมีการแยกเส้นทางการขนส่งทางเศรษฐกิจ ออกจากเส้นการจราจรทั่วไป เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยโดยยกระดับเป็นอาเซียน เกตเวย์ รองรับระบบการค้าเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
พร้อมกันนี้จะมีการผลักดันภาคการท่องเที่ยว โดยจะเร่งพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวถนนเรียบชายหาดไทยฝั่งตะวันออกให้ครบถ้วนตั้งแต่จังหวัดชลบุรียาวต่อเนื่องจรดชายหาดจังหวัดตราด
“ในการลงพื้นที่หาเสียงครั้งนี้ (3 มิ.ย.) พรรคประชาธิปัตย์จะเน้นนำเสนอสิ่งที่เป็นประวัติส่วนตัว หรือจุดเด่นของส.ส.แต่ละบุคคล อาทิ ตัวผมเองจะขายความเป็นส.ส.มือสะอาด ไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง พร้อมกับขายนโยบายของพรรค ซึ่งผมโชคดีหน่อย เพราะเป็นรัฐบาล ทำให้สามารถขายผลงานที่ทำให้กับคนระยอง และภาคตะวันออกได้ ซึ่งผมทำไว้เยอะพอสมควร สิ่งที่เราได้ทำไปแล้ว คือ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ระยะทางจากกรุงเทพ-ระยอง ผ่านชลบุรี ความยาว 221 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเพียง 1 ชั่วโมง และหากเราได้เป็นรัฐบาลอีกจะมีการสานต่ออย่างแน่นอน” นายสาธิต กล่าว
สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะปัญหาที่มาบตาพุด ส่วนตัวมองว่า 3 ประการหลักที่ต้องยึดไว้ คือ ความสมดุลระหว่างคุณภาพชีวิต กับการพัฒนาเศรษฐกิจ และการให้ความสำคัญกับพื้นที่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมที่แบกรับมลภาวะโดยตรงจะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ดีในช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลได้มีการผลักดันโครงการต่างๆ เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้ภาคตะวันออก โดยเฉพาะพี่น้องชาวระยอง ที่เป็นผู้จ่ายภาษีเงินได้ต่อหัวสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย โดยโครงการที่ดำเนินการไปแล้ว อาทิ โครงการมหาวิทยาลัยระยอง หรือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตระยอง งบประมาณกว่า 1,600 ล้านบาท โครงการน้ำประปาเพื่อคนระยอง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่าครึ่งจังหวัด งบประมาณกว่า 480 ล้านบาท และโครงการปรับปรุงระบบสาธารณสุขให้มีโรงพยาบาลที่เพียงพอและรักษาเฉพาะทางเหมาะสมกับพื้นที่อุตสาหกรรม โดยขณะนี้มีประชาชนได้รับการตรวจรักษามากกว่า 10,000 คนแล้ว
“ผมอยู่ในพื้นที่ทำให้รับทราบปัญหาดี ผมเป็นส.ส.มากว่า 10 ปี จะเห็นว่าในช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมา ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง และตลอดช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมา เราคนระยอง ซึ่งเป็นผู้เก็บภาษีได้สูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศ กลับไม่ได้รับงบประมาณเพิ่มเติม แต่วันนี้เรามี ทั้ง มหาวิทยาลัย น้ำประปา และโรงพยาบาล แต่ยังไม่เพียงพอเราจะให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการด้วย โดยจะนำเอาโครงการดีๆเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมาใช้กับพื้นที่ที่มีปัญหาด้วย” นายสาธิตกล่าว
ส่วนการแข่งขันด้านการเมืองในภาคตะวันออก นายสาธิต กล่าวว่า บรรยากาศการลงพื้นที่หาเสียง ทั้ง ชลบุรี ระยอง และตราด ยังไม่พบเห็นเหตุการณ์ความรุนแรงตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ให้การจับตา หลังมีการอ้างอิงข้อมูลคดีความเดิมและบัญชีรายชื่อมือปืนในอดีต ทั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งผู้สมัคส.ส. ภาคตะวันออก ครบทั้ง 26 เขต