สป.สรุปผลประชามติการสัมมนาระดมความเห็นเกี่ยวกับการร่างรธน.เวทีระดับจังหวัด (จ.นครราชสีมา)

ข่าวทั่วไป Monday February 5, 2007 11:23 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--5 ก.พ.--สป.
สภาที่ปรึกษาฯ จัดเสวนาระดมความเห็นจากประชาชนจากจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเวที่ที่ 3 จังหวัดนครราชสีมา เพื่อสังเคราะห์เป็นข้อมูลต่อการจัดทำความเห็นต่อการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร
เมื่อวันที่ 3 กพ. 50 ที่ผ่านมา คณะทำงานส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปการเมือง(สรรป.) สภาที่ปรึกษาฯ จัดการสัมมนาระดมความเห็นเวทีระดับจังหวัด เรื่อง “รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยควรมีสาระสำคัญอย่างไร” ซึ่งถือเป็นเวทีที่ 3 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเวทีที่เป็นการระดมความเห็นจากภาคประชาชนใน 2 จังหวัด คือ จ.นครราชสีมา และจ.ชัยภูมิ จัด ณ ห้องราชสีมาบอลลูม โรงแรมรอยัล ปริ๊นเซส จ.นครราชสีมา โดยมี นายพงษ์ศิริ กุสุมภ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานเปิดงานสัมมนา โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้แทนจากภาคเกษตรกร ภาคอุตสาหกรรม ภาคฐานทรัพยากร สมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ หน่วยงานภาครัฐ -เอกชน รวมถึงสื่อมวลชน เข้าร่วมงานประมาณ 200 คน และมีกกต.ประจำจังหวัดนครราชสีมา เข้าร่วมสังเกตการณ์ในครั้งนี้ด้วย โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะสนับสนุนการให้ความเห็นเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รวมถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนเพื่อการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญและการออกเสียงเลือกตั้ง
ทั้งนี้การเสวนาในครั้งนี้ มีการแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อหาข้อสรุปถึงประเด็นปัญหาต่างๆ ที่ควรกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ สิทธิเสรีภาพของประชาชนและแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
1.อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร
อำนาจนิติบัญญัติ ในเรื่องของระบบรัฐสภา เห็นควรให้มีสภาแบบ 2 สภา คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เพื่อให้การพิจารณาเรื่องกฎหมายทำได้อย่างรอบคอบมากขึ้น ส่วนที่มาและคุณสมบัติของสส.มติที่ประชุมเสียงข้างมากเห็นว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรควรที่จะมีการสังกัดพรรคการเมือง และควรมีจำนวนสส. 300+100 คน ส่วนวุฒิการศึกษาสำหรับสส.ควรเป็นระดับปริญญาตรีหรือไม่นั้น ที่ประชุมเห็นว่าไม่ควรกำหนดวุฒิการะศึกษาขั้นต่ำในระดับปริญญาตรี แต่ควรสำเร็จการศึกษาภาค และไม่ควรตรากฎหมายให้การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของประชาชนแต่ให้เป็นสิทธิของประชาชน
ส่วนอำนาจหน้าที่ ที่มาและคุณสมบัติของสว.นั้น ที่ประชุมส่วนใหญ่แสดงความเห็นว่า สว.ควรมีอำนาจในการกลั่นกรองกฎหมายอย่างเดียวและมีอำนาจในการควบคุมและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล รวมถึงการมีอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ โดยให้เป็นเหมือนรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ส่วนที่มาของ สว. เห็นว่าควรมาจากการสรรหาโดยกำหนดหลักการวิธีการ และคุณสมบัติของผู้สมัครให้ชัด สำหรับคุณสมบัติของ สว. เห็นว่าไม่ควรเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองและควรมีวุฒิการศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไป สำหรับวาระในการดำรงตำแหน่งที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นว่า ไม่ควรกำหนดวาระ ทั้งนี้ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ
อำนาจบริหาร เห็นว่านายกรัฐมนตรีควรมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และควรกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งไม่เกิน 2 วาระ หรือ 8 ปี นอกจากนี้ ควรมีการห้ามมิให้คู่สมรสและบุตรที่บรรลุนิติภาวะและไม่บรรลุนิติภาวะ ถือหุ้นในกิจการที่ได้รับสัมปทานจากภาครัฐ และมีการกำหนดการถือหุ้น ทั้งนี้ให้มีองค์กรอิสระตรวจสอบ รวมถึงการกำหนดเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย
2.อำนาจตุลาการและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
อำนาจตุลาการ เรื่องศาลยุติธรรม เห็นควรให้ตุลาการศาลยุติธรรมต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินให้สาธารณชนทราบ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ ส่วนกระบวนการพิจารณาพิพากษาคดีที่มีมูลคล้ายกันในศาลต่างๆ ต้องมีมาตรฐานเดียวกันในการพิพากษาคดี อีกทั้งการพิพากษาคดีของศาลต้องไม่นำนโยบายของรัฐมาใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ ประการต่อไปเห็นว่าประชาชนต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจของศาลยุติธรรมและศาลอื่น และควรเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการวิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษาของศาลได้
ส่วนการจัดตั้งศาลพิเศษในแนวทางที่ 1 เห็นว่าควรมีการจัดตั้งศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญ โดยที่องค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครอง ตุลาการควรมีที่มาจากภาคประชาชนให้มากขึ้นและปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง แนวทางที่ 2 การจัดตั้งศาลพิเศษอื่นๆ เช่น การศาลการเมืองและศาลเลือกตั้ง เพื่อให้มีหน้าที่รับผิดชอบคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและการทำหน้าที่วินิจฉัยคดีและลงโทษผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง และศาลท้องถิ่น เช่น ศาลตำบล ศาลหมู่บ้าน เพื่อทำหน้าที่ในการไกล่ข้อพิพาทในท้องถิ่น / พื้นที่ รวมถึงการกำหนดให้ประชาชน มีสิทธิ์ในการฟ้องร้องผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ทุจริตต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และไม่กำหนดอายุความ
องค์กรตามรัฐธรรมนูญ ในเรื่องของกระบวนการสรรหา ไม่ควรให้ฝ่ายการเมืองมีส่วนร่วมเป็นกรรมการในกระบวนการสรรหาองค์กรอิสระ และควรให้คณะองคมนตรีเป็นผู้พิจารณาเลือกคณะกรรมการองค์กรอิสระต่างๆ โดยกำหนดให้ สส. และสว. ทำหน้าที่เป็นผู้เสนอกฎหมายเท่านั้น
ส่วนคุณสมบัติของกรรมการในองค์กรอิสระนั้น ควรกำหนดให้ภาคประชาชนมีสิทธิเข้ามาดำรงตำแหน่งได้มากขึ้น การคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน และควรมีองค์กรภาคประชาชนที่เป็นนิติบุคคลได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ การกำหนดจำนวนองค์กรอิสระ ที่ประชุมเห็นว่าควรมีการเพิ่มองค์กรอิสระอีก 1 องค์กร คือองค์กรภาคประชาชนที่เป็นนิติบุคคลและได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญ
3.สิทธิเสรีภาพของประชาชนและแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
สิทธิเสรีภาพ
1. ตามมาตรา 26 ให้เพิ่มคำว่าไม่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
2. สนับสนุนให้ชนกลุ่มน้อย เช่น ชาวเขา ได้มีโอกาสและมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ
3. ให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาอย่างทั่วถึงในเรื่องการพัฒนาการเมือง เพื่อให้เยาวชน และประชาชนทุกระดับ ได้รับรู้และเข้าใจในเรื่องรัฐธรรมนูญ สิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย และระบบการเมือง อย่างถั่วถึง
4. รัฐจะต้องมีหน้าที่ส่งเสริมให้ประชาชน มีส่วนร่วมในการรับรู้ ข้อมูล ข่าวสาร สิทธิตนเองการเข้าถึงสิทธิ และมีความเข้มแข็งสามารถติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานของรัฐ
5. รัฐต้องกำหนดให้ชัดเจนเกี่ยวกับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จากระดับใดถึงระดับใด และให้รัฐสนับสนุนงบประมาณเพื่อการศึกษาอย่างทั่วถึง และเท่าเทียม
6. ให้กำหนดหน้าที่ของภาคการเมืองและภาคราชการให้ชัดเจน เพื่อไม่เกิดการก้าวก่ายหน้าที่
7. รัฐจะต้องปกป้องคุ้มครองประชาชนที่ถูกละเมิดสิทธิจากอำนาจรัฐ อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
8. สิทธิ เสรีภาพ บทบาท หน้าที่ของประชน ต้องกำหนดให้ชัดเจน และสามารถสื่อสารเข้าใจง่าย
9. ตามมาตรา 50 ควรเพิ่มวรรค 3 การประกอบกิจการหรืออาชีพอันเป็นขัดต่อขนบธรรมเนียมประเภณีและศิลธรรมอันดีจะกระทำมิได้สิทธิฟ้องร้องนักการเมือง
- ควรให้สิทธิโดยตรงแก่ประชาชน จำนวนไม่น้อยกว่า 20,000 คน สามารถฟ้องร้องผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริต ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาได้
การเพิ่มบทบาทภาคประชาชน
ให้ส่งเสริมและสนับสนุนกระบวนการพัฒนาของประชาชน ให้มีความเป็นอิสระและมีประสิทธิภาพ ส่วนในเรื่องการลงมติของประชาชนในเรื่องใด ควรให้ประชาชนได้รับทราบเนื้อหารายละเอียดของเรื่องนั้นก่อน
แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
- รัฐพึงให้การศึกษาอบรมคุณธรรมพื้นฐานทั้งในระบบและนอกระบบ (ในโรงเรียนและนอกโรงเรียน)
- รัฐต้องเพิ่มระยะเวลาการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ชัดเจน มีสถานศึกษาและงบประมาณสนับสนุน รวมทั้งส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเมืองแก่ประชาชนตั้งแต่ระดับเยาวชน
- ควรเพิ่มหมวดสิทธิของเกษตรกรให้มีความละเอียดและชัดเจน รวมทั้งเกษตรกรได้รับความคุ้มครองอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
- ประชาชนท้องถิ่นดั้งเดิมต้องได้รับข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับโครงการขั้นพื้นฐานของรัฐที่ส่งผลระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
- รัฐต้องสนับสนุนมาตรฐานด้านราคาสินค้าการเกษตรให้เหมาะสมและเป็นธรรม
- เพิ่มคำว่า “พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ และกำหนดให้ทุกศาสนามีความเท่าเทียมกัน”
ทั้งนี้ สภาที่ปรึกษาฯ จะนำผลการสัมมนาที่ได้จากเวทีระดับจังหวัด ทุกภาค มาประมวลและสังเคราะห์ เสนอต่อเวทีการประชุมสัมมนาระดับชาติ ครั้งที่ 1 ซึ่งกำหนดจัดขึ้นประมาณต้นเดือนมีนาคม 2550 เมื่อได้ผลการสัมมนาระดับชาติ ครั้งที่ 1 แล้ว จะนำไปเปรียบเทียบกับร่างรัฐธรรมนูญที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญส่งให้สภาที่ปรึกษาฯ พิจารณาเสนอความเห็น และจะจัดการประชุมสัมมนาเวทีระดับชาติ ครั้งที่ 2 ประมาณในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2550 เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมกันพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และสภาร่างรัฐธรรมนูญต่อไป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์
โทรศัพท์ 02-612-9222 ต่อ 119 โทรสาร 02-612-6918-19

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ