กรุงเทพฯ--2 เม.ย.--เจเอสแอล
“สุริวิภา” พุธที่ 4 เมษายนนี้ หนูแหม่ม-สุริวิภา กุลตังวัฒนา ติดตามชายหนุ่มสุดฮอต รูปหล่อมาดดีมีสไตล์ หมู-พลพัฒน์ อัศวประภา ไปดูเขาทำงานเป็น Personal Stylist อาชีพใหม่ในแวดวงสังคมไทย หลังจากที่เขาต้องทิ้งงานด้านแฟชั่นที่เขารักไว้ที่นิวยอร์ก เพื่อกลับมาแสดงความกตัญญูดูแลกิจการด้านรถยนต์ของครอบครัว วันนี้เขาสร้างสมดุลให้ชีวิตได้อย่างลงตัวและมีความสุขแถมยังมีกลุ่มเพื่อนๆพี่ๆ ที่น่ารักในวงสังคมอ้าแขนรับเขาไว้อย่างอบอุ่น!!
“สุริวิภา” เปิดฉากคลายข้อกังขาที่ว่าทำไม พลพัฒน์ อัศวประภา จึงเป็นที่รู้จักกว้างขวางในแวดวงสังคมทั้งที่เพิ่งกลับเมืองไทยมา 3 ปี หมู-พลพัฒน์ เล่าว่า “คงด้วยความที่ผมเป็นมิตรเข้ากับคนได้ง่าย หน้าที่การงานทำให้ได้เจอสื่อเยอะ และงาน Personal Stylist ก็ทำให้เจอคนเยอะขึ้นอีก งานนี้เพิ่งเริ่มมีในไทย 1 — 2 ปีเท่านั้น ส่วนใหญ่เราคุ้นเคยกับStylist ที่ทำงานให้หนังสือแฟชั่น-โทรทัศน์เท่านั้น เราทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงในชีวิตจริง ตามเมืองใหญ่ๆในต่างประเทศอาชีพนี้สำคัญมา ผู้รับบริการมีทั้งนักการเมือง ดารา นักกีฬา ทนายความ อาทิ ฮิลลารี่ คลินตัน นักเทนนิสตระกูลวิลเลี่ยมครับ”
สุริวิภา จึงติดตามคุณหมูไปดูการทำงานให้ ลูกเกด-นารากร โลหาชาละ ที่โทรนัดหมายขอคำแนะนำว่าคุณแม่มือใหม่ทรวงทรงยังไม่เข้ารูปหลังคลอดอย่างเธอ จะต้องเลือกเสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้าอย่างไรให้ดูดี หลังจากทราบข้อมูลส่วนตัวและความต้องการของลูกเกดแล้ว ก็พากันไปเดินเลือกดูของในห้างสรรพสินค้าที่มีของให้เลือกมากมาย โดยหาสไตล์ที่ช่วยอำพรางรูปร่าง แล้วนำมาลองแบบ mix & match ซึ่งลูกเกดก็ค่อนข้างพอใจในเสื้อผ้าหลากสไตล์ที่เลือกสรรมา
หมู-พลพัฒน์ เผยถึงประสบการณ์ด้านแฟชั่นอันโชกโชนในนครนิวยอร์ก ว่า “ผมจบนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ ครับ ครอบครัวเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้ามากว่า 30 ปี คุณพ่อเคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่โตโยต้าเมื่อ 50 ปีก่อน ส่วนคุณแม่เป็นคนญี่ปุ่น ที่บ้านจึงอยากให้เรียนบัญชีจะได้มาช่วยธุรกิจ ซึ่งผมก็หลบเลี่ยงตลอด แต่พอจะต่อปริญญาโทโดนใบสั่งให้เรียน MBA เท่านั้น ก็ไปต่อที่แคลิฟอร์เนีย แต่ด้วยใจที่อยากเรียนแฟชั่นดีไซน์มาก พอจบโทก็แอบไปหัดเรียนวาดรูปกับครูโต จากที่ลากเส้นตรงยังไม่เป็นเลย ก็มีเอกลักษณ์เรียบง่ายจนอาจารย์ฝรั่งชอบมาก ตอบรับให้เข้าเรียนที่ Parson นิวยอร์กได้สมใจ ซึ่งที่นี่มีแต่คนที่มีชื่อเสียงในวงการแฟชั่นมาเรียนเช่น มาร์ค จาค็อบ ดีไซเนอร์ ของหลุยส์วิกตองส์ ที่บ้านก็ตกใจมากแต่ห้ามเราไม่ได้แล้ว ปล่อยเราเรียนจนจบก็พยายามเรียกให้กลับ ผมก็ดื้อเพราะเหมือนตามหาฝันแท้จริงเจอแล้วก็ไม่อยากทิ้งอยากทำงานที่นี่ ที่บ้านก็เริ่มตัดงบ หางานทำได้งานแรกเป็นผู้ช่วยดีไซเนอร์ ไอแซก มิสราฮี ซึ่งมีชื่อเสียงมาก แต่ค่าจ้างเราน้อยมาก เขาจ่ายเท่าค่าแรงขั้นต่ำของเขาเท่านั้น แค่พอประทังชีวิต ค่าบ้านพักยังไม่พอเลยครับ ”
“ด้วยความเป็นคนเอเชียก็จะโดนดูถูกเหยียดหยามมาก ต้องทำงานทุกอย่าง เย็บกระดุม เย็บซิป ตัดแพทเทิร์น ตัดผ้า วิ่งซื้อของ ใส่รองเท้าให้ลูกค้า ถูลู่ถูกัง แต่ด้วยความที่เรารักงานนี้ที่สุดและเราดื้อ ก็ต้องพิสูจน์ว่าเราทำได้ จึงรับผิดชอบเต็มที่ หนักเอาเบาสู้ ก็มีงานให้รับผิดชอบมากขึ้นตลอด ฝรั่งเขา ขี้บ่นกว่าคนไทยเป็นร้อยเป็นพันเท่า ผมก็อดทนอดกลั้นจนเขาไว้ใจยอมรับเรามากขึ้น มีเพียงแค่ครั้งเดียวที่แว่บเข้ามาในหัว ตอนที่คุกเข่าลงสอยขากางเกงให้ลูกค้าคนหนึ่ง อยู่ๆน้ำตาจะไหล คิดว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ จบปริญญาตรีนะ ปริญญาโทก็ตั้งสองใบ แถมใบหนึ่งจบจากมหาวิทยาลัยแฟชั่นชั้นนำโดยตรงด้วยนะ นี่คือชีวิตที่ต่ำสุดของเราเหรอ แต่ที่สุดก็คิดได้ว่า นี่คือประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาซื้อได้ด้วยเงิน และเป็นความฝันอันสูงสุดของเรา ก็ไม่เคยย่อท้ออีกเลย และตอนนี้ความฝันของผมก็เริ่มเป็นรูปร่างใกล้คลอดภายในปลายปีนี้แน่นอนครับ” และสิ่งนั้นคือ เสื้อผ้าในแบรนด์ของพลพัฒน์ นั่นเอง
“7 ปีกว่าที่ผมทำงานด้วยความอดทน ตำแหน่งสุดท้ายที่ได้รับ คือ Fashion Director ห้องเสื้อ MaxMara ที่นิวยอร์ก ชีวิตเปลี่ยนไปมาก ทั้งการทำงาน ได้เดินทางไปทำงานที่มิลานเป็นประจำ ได้ไปร่วมงานแฟชั่นโชว์ระดับโลกบ่อยๆ ได้เจอคนในแวดวงดีไซเนอร์ดังๆ ได้เป็น Personal Stylist ที่มีรายได้ครึ่งวันพันเหรียญ!! ตอนนั้นผลตอบแทนและรายได้ดีเยี่ยม และได้รับความไว้วางใจจากเจ้านายมาก แต่ผมก็ตัดสินใจกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เมืองไทย เพราะคุณพ่อประสบอุบัติเหตุ ทำให้ผมต้องชั่งใจว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตผม ระหว่างความฝันกันหน้าที่ที่ควรทดแทน เป็นความรู้สึกที่เหมือนกบฎอยู่ในใจ แต่ผมก็ตัดสินใจกลับ ที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ประหลาดใจมากเพราะเขาเลิกตามผมกลับนานแล้ว ไม่เคยคิดว่าผมจะกลับง่ายๆ เจ้านายผมก็บินตามมาเมืองไทย ขอตัวให้ผมกลับไปทำงานเหมือนเดิม”
หลังจากใช้ชีวิตเมืองนอก 10 ปีครึ่ง ก็กลับไทยมาเมื่อ 3 ปีก่อน คุณพ่อปล่อยให้เริงร่าเที่ยวเล่นอยู่ 3-4 เดือน ก็เริ่มมอบหมายงานสำคัญเพิ่มให้เรื่อยๆ จนวันนี้เขากลายเป็น CEO ของบริษัทที่ต้องดูแลลูกน้องกว่า 250 ชีวิต ซึ่งก็ทำให้เขานึกขอบคุณคุณพ่อที่เคี่ยวเข็ญให้เรียนบริหารธุรกิจมา ทุกวันนี้ชายหนุ่มมีความสุขกับการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในทุกๆด้าน ทั้งด้านการทำงานยานยนต์และด้านแฟชั่น ซึ่งทำให้เขาได้ผูกมิตรกับพี่น้องในแวดวงสังคมที่น่ารักอีกมากมาย เขาจึงเชิญให้ “สุริวิภา” ไปร่วมงานพบปะสังสรรค์กับเหล่าคนดัง อาทิ กุ๊กกี้-ทินกร ต้อย-นคร ตือ-สมบัษ สุพรทิพย์ ฯลฯ ในร้านหรูสุดเก๋
ติดตามชมได้ใน “สุริวิภา” พุธที่ 4 เมษายน เวลาดีสี่ทุ่มทางโมเดิร์นไนท์ทีวี
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net