กรุงเทพฯ--16 มิ.ย.--Qmedical
โรคภูมิแพ้ คือ โรคที่เกิดจากการที่ร่างกายมีการตอบสนองต่อสิ่งต่างๆตามธรรมชาติไวผิดปกติ ทั้งที่คนทั่วไปไม่เกิดอาการผิดปกติเมื่อสัมผัสสารต่างๆเหล่านั้น สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายได้หลายทางทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ชนิดต่างๆ ซึ่งมีอาการแตกต่างกันดังนี้
สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายโดยทางเดินหายใจ ตั้งแต่ จมูก คอ หลอดลมลงไปถึงปอด ทำให้เกิดอาการเป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม เรียกว่าโรคแพ้อากาศ ผู้ป่วยจะมีอาการคันคอ เจ็บคอ ไอมาก หากมีอาการหลอดลมตีบตัน หายใจลำบากเรียกว่าโรคหอบหืด
สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายโดยทางผิวหนัง ทำให้เกิดผื่นคันอักเสบ เป็นลมพิษ มีน้ำเหลืองไหล เป็นตุ่มพุพองที่ผิวหนัง เรียกว่า โรคผื่นแพ้
สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายโดยทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการคันปาก คันคอ มีผื่นคันที่ผิวหนัง เป็นลมพิษ ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย อาหารไม่ย่อย คลื่นไส้ อาเจียน มีแผลร้อนในในปาก เรียกว่า โรคแพ้อาหาร
สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายโดยทางตา ทำให้คันตา แสบตา ตาแดง น้ำตาไหล ตาสู้แสงไม่ได้ เยื่อบุตาแดงบวมและอักเสบ เรียก โรคภูมิแพ้ที่ตา
ทำไมจึงเป็นโรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้ มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่ายขึ้น เมื่อได้รับสารแปลกปลอม ซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้ เข้ามาในร่างกายต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆ จนกระทั่งร่างกายเกิดปฏิกิริยา มีการสร้างภูมิคุ้มกันต่อสารชนิดนั้น เมื่อเราได้รับสารก่อภูมิแพ้นั้นเข้าไปอีก ก็จะเกิดปฎิกิริยาภูมิแพ้
การติดเชื้อซ้ำซากยาวนาน ทั้งที่เกิดจากแบคทีเรีย ไวรัส ยีสต์ หรือพยาธิ หรือปัจจัยภายนอกใดๆ ที่คงอยู่ในตัวเรา หรือสัมผัสกับร่างกายเรา โดยที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดออกได้หมด เป็นเวลาต่อเนื่องกันนาน ๆ ในที่สุดก็จะกระตุ้นปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน ให้ผลิตภูมิคุ้มกันชนิดกว้างและมีความเจาะจงน้อย ซึ่งจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อสารต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นคนแพ้สิ่งต่างๆได้ง่ายและบางครั้งมีภูมิคุ้มกันที่ต่อต้านเนื้อเยื่อของตนเองเกิดขึ้น กลายเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง
อาการภูมิแพ้ ที่เป็นเฉพาะเวลาร่างกายประสบกับภาวะเครียดทั้งทางร่างกายหรือทางจิตใจก็ตาม เนื่องจากความเครียดจะเผาผลาญพลังงานในร่างกายด้วยการกระตุ้นต่อมไร้ท่อต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไป ระบบป้องกันตนเองของร่างกายจะค่อยๆ อ่อนแอลงไป ร่างกายเกิดการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น ด้วยการเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อฝุ่นละออง และสารต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย มีเสมหะแห้งๆ ในคอตลอดเวลา น้ำมูก มึนงง ไม่สดชื่น ฯลฯ
ระบบภูมิต้านทานของคนเราประกอบด้วยเซลล์หลายชนิด ที่สำคัญโดยเฉพาะ T-cell ซึ่งมี 2 ประเภท คือ
- Th 1 เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สร้างสารต่อต้านเชื้อโรค เช่น สารอินเตอเฟอรอนแกมม่า
- Th 2 เป็นเซลล์ที่สร้างสารเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ เช่น อินเตอร์ลิวคีน 5
ร่างกายของคนเราต้องใช้เซลล์ทั้ง 2 ชนิดอย่างสมดุลจึงจะมีสุขภาพที่สมดุลแข็งแรง แต่สภาพการเลี้ยงดูบุตรหลานในยุคปัจจุบันไม่ค่อยได้อยู่ตามธรรมชาติ เช่น นอนแต่ในห้องแอร์ อาบแต่น้ำอุ่น ไม่ได้สัมผัสธรรมชาติที่เป็นของจริง เช่น ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ร่างกายเด็กจึงไม่มีโอกาสสัมผัสเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสตามธรรมชาติ พอเป็นไข้ไม่สบายก็รีบพาลูกไปหาหมอกินยาปฏิชีวนะ ยาลดน้ำมูก ยาลดไข้ ไว้ตลอดโดยที่ภูมิต้านทานที่แท้จริงของตนเองไม่เคยได้ใช้งานต่อสู้เชื้อโรคเลย ทำให้ร่างกายขาดเซลล์ Th 1 มีแต่เซลล์ Th 2 ซึ่งเป็นตัวการคอยกระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดขาวชื่อ อีโอซิโนฟิลล์ สาร IgE ที่เมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ก็จะเกิดการหลั่งสารฮีสตามีนซึ่งทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ
การแพ้อาหารเป็น ๒ ประเภท คือ การแพ้ที่ปรากฎชัดเจน กับการแพ้ที่ไม่ปรากฎชัดเจน ซึ่งชนิดหลังนี้มีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้ป่วยจะมีอาการแพ้ต่ออาหารปกติที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น นม ข้าวโพด แป้งข้าวสาลี น้ำตาล ชอคโกแลต สีผสมอาหาร กลิ่น สารถนอมอาหาร โดยจะเกิดการแพ้แบบค่อยเป็นค่อยไปและสะสมใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี อาการที่พบได้คือ อ่อนเพลีย คัดจมูก ปวดท้อง ปวดข้อปวดกล้ามเนื้อ หรือมีอาการทางประสาท ผู้ป่วยมักจะไม่รู้ว่าตนเองแพ้อาหาร และอาการจะเป็นแบบเรื้อรัง ทำให้ผู้ป่วยต้องแสวงหาหมอ แสวงหายามารักษาตนเอง โดยไม่มีทีท่าว่าจะหาย การแพ้อาหารประเภทหลังนี้ อาจเกิดจากร่างกายได้รับสารเคมีตกค้างที่มาในอาหาร พฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ส่งเสริมสุขภาพ การมีอนุมูลอิสระมากเกินไป หรือการมียีสต์เจริญงอกงามมากเกินไปในลำไส้ โดยยีสต์จะแบ่งตัวและแตกหน่อ ฝังตัวเองลงไปในเยื่อบุลำไส้ ส่งผลให้อาหารโมเลกุลใหญ่ที่ยังย่อยไม่สมบูรณ์ จะถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้เข้าไปในกระแสเลือดได้ อาหารโมเลกุลใหญ่เช่นนั้น ร่างกายจะถูกกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ต่างๆได้
การรักษาโรคภูมิแพ้
- โดยทั่วไปแพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงจากสารที่ทำให้แพ้ คำแนะนำนี้ดูเหมือนจะเป็นไปได้เฉพาะกรณีเท่านั้น เพราะบางครั้งผู้ป่วยไม่อาจทราบได้ว่าตนเองแพ้อะไรบ้าง และบางครั้งสิ่งที่แพ้ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน
- ให้ผู้ป่วยกินยาต้านปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่างๆ กลุ่มเสตียรอยด์ เพื่อคอยระงับอาการต่างๆที่เกิดขึ้นเท่านั้นแต่ไม่ได้จัดการแก้ไขสาเหตุที่เป็นต้นตอจริงๆ
- การทดสอบทางผิวหนัง (Skin Test) โดยสุ่มทดสอบว่าผู้ป่วยแพ้อะไรบ้างแล้วฉีดสารก่อภูมิแพ้ในปริมาณน้อยๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้คุ้นเคยกับสารก่อภูมิแพ้ชนิดนั้น จึงสามารถป้องกันการเกิดภูมิแพ้ได้ การรักษาชนิดนี้ต้องใช้ระยะเวลานาน คือฉีดติดต่อกัน 9-12 เดือน หลังจากนั้นต้องฉีดกระตุ้นไปอีกเป็นระยะ เช่น เดือนละครั้ง อาจนาน 3-5 ปี อย่างไรก็ตาม ผลการรักษาไม่สู้จะดีนัก เมื่อเทียบกับเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษา เพราะไม่อาจรับประกันได้ว่าจะสามารถหายจากโรคภูมิแพ้แน่นอน และผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มักจะแพ้สารหลายตัว วิธีการนี้จึงเรียกได้ว่าค่อนข้างยุ่งยาก สิ้นเปลือง เสียเวลานาน และไม่ค่อยได้ผล
Autologous Serum I
เป็นวิธีการปรับภูมิต้านทานผู้ป่วย เปรียบเทียบได้กับคำว่า “หนามยอกเอาหนามบ่ง” คือ เมื่อพบว่าภูมิแพ้เกิดขึ้นแล้วล่องลอยในกระแสเลือด ก็ใช้เลือดของตนเองมาช่วยในการรักษาโดยเจาะเลือดของผู้ป่วยขณะที่มีปฏิกิริยาภูมิแพ้ เอาเฉพาะซีรั่ม ซึ่งในซีรั่มนั้น จะมีภูมิคุ้มกันไวเกินที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้อยู่ นำซีรั่มมาแยกเซลล์ที่ตกค้างออก ให้เหลือเฉพาะโปรตีน แล้วใช้ตัวกระตุ้นซีรั่ม(Serum activator) เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างบางประการของภูมิคุ้มกันไวเกิน (Antibody) ให้มีสภาพเป็น Antigen แล้วฉีด Antigen ที่ได้เข้าใต้ผิวหนัง โดยให้ผู้ป่วยได้รับสารก่อภูมิแพ้ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับคนไข้แต่ละรายครั้งละน้อยๆเป็นเวลาต่อกันระยะหนึ่ง วิธีนี้สามารถใช้ได้แม้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการแพ้มากที่สุด ซึ่งร่างกายจะรับสารก่อภูมิแพ้ในขนาดน้อยๆนี้ได้โดยไม่ปรากฎอาการใดๆจากนั้นระบบภูมิต้านทานของร่างกายจะมีการปรับโดยลดการสร้างภูมิคุ้มกันไวเกินลง หรือหลั่งสารที่จะไปบล็อคการสร้างภูมิคุ้มกันไวเกินบางชนิดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือ แม้ว่าผู้ป่วยจะได้รับสารก่อภูมิแพ้ แต่เมื่อร่างกายลดการสร้างภูมิคุ้มกันไวเกินที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ลง จึงไม่สามารถก่อปฏิกิริยาภูมิแพ้กับสารก่อภูมิแพ้นั้นได้ ผู้ป่วยก็จะปลอดจากโรคภูมิแพ้โดยปริยาย
ส่งผลให้ปฏิกิริยาภูมิแพ้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ จึงสามารถรักษาหรือทุเลาอาการของโรคภูมิแพ้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรักษาโรคภูมิแพ้ด้วยวิธีนี้ให้ผลการรักษาได้ผลดีร้อยละ 60 — 80 และไม่มีผลข้างเคียงใดๆเนื่องจากเป็นสารที่สกัดมาจากตัวของผู้ป่วยเอง จึงไม่มีอาการต้านยา แพ้ยา หรือมีสารตกค้างภายในร่างกาย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-6643027 Qmedical